'ภักดี' ชี้ 'กม.ใหม่ให้อำนาจ-สกัดทุจริต'

คมชัดลึก 9 เมษายน 2555 >>>




ภักดี โพธิศิริ 'กม.ใหม่ให้อำนาจ-สกัดทุจริต' สัมภาษณ์พิเศษ ภักดี โพธิศิริ กรรมการ ปปช.

ขณะที่การเมืองประเด็น "ปรองดอง" เริ่มทวีความร้อนแรง แต่ปัญหา "บ้านเมือง" ดูเหมือนยังไม่ได้รับความสนใจในการแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตั้งแต่อุทกภัยน้ำท่วม ปากท้อง จนถึงขณะนี้ถูกมองเป็น "ปัญหารอง" จากเรื่องการเมืองไปแล้ว
ระหว่างที่ประเด็นการเมืองกำลังร้อนแรงหลายคนอาจลืมคิดถึงตัวเลขเม็ดเงินของ "เมกะโปรเจกท์" ที่อนุมัติโดย "ครม.สัญจร" 3 ครั้งที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินที่มีจำนวนมหาศาล
แม้จะมีการก่อตั้ง "ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น" โดยการเปิดตัว "โครงการหมาเฝ้าบ้าน" เพื่อเฝ้าติดตามโครงการทุจริตและคอรัปชั่นในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล แต่เงินมหาศาลการมีหน่วยงานอาสาเพื่อจับตาเรื่องทุจริตคงไม่เพียงพอ
ล่าสุด "คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ" (ปปช.) ได้ผลักดันกฎหมายหวังตัดวงจรทุจริตงบประมาณแผ่นดิน ด้วยการกำหนดให้ทุกส่วนราชการเปิดเผยวิธีคำนวณราคากลาง และประกาศราคากลางลงในเว็บไซต์ของหน่วยงาน ปิดช่องไม่ให้มีการฮั้วกันตั้งราคากลางให้สูงเกินจริง เพื่อให้เกิดส่วนต่าง
โดยใช้ชื่อว่า "พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตามมาตราที่ 103/7 และ มาตรา 103/8" เพื่อป้องกันปัญหาที่เคยมีมาแต่ในอดีต เรื่องการทุจริต การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่มีกระบวนการจัดจ้างไม่โปร่งใส มีการกำหนดราคากลางที่สูงเกินจริง มีการฮั้ว ฯลฯ
ในเรื่องนี้ "ภักดี โพธิศิริ" กรรมการ ปปช. ได้ให้รายละเอียดถึงการผลักดันกฎหมายดังกล่าวที่คาดหวังให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ยังติดอุปสรรคตรงที่คณะรัฐมนตรียังไม่มีมติให้หน่วยราชการปฏิบัติตามภายใน 180 วัน แต่มอบให้กระทรวงการคลังหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"ภักดี" บอกว่า พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรา 103/7 และ 103/8
ซึ่งทั้ง 2 มาตรานี้ไม่ได้อยู่ในร่างเดิมของ ปปช.แต่พิจารณาเพิ่มเติมเข้ามาโดย "คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่ายการเมืองใช่ว่าจะเลวร้ายไปทั้งหมด
โดยนักการเมืองทุกคนเห็นตรงกันว่าปัญหาทุจริตคอรัปชั่นหนักมาก โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างโครงการขนาดใหญ่และขนาดย่อม ที่มีการตั้งราคากลางไว้สูงเกินสมควร เพื่อให้มีเงินทอนเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพรรคพวก ยังไม่รวมเรื่องการสมยอมราคา
   “โอกาสรั่วไหลในการประกวดราคามีหลายขั้นตอนมาก เริ่มตั้งแต่การคิดโครงการ เขียนทีโออาร์ โครงการบางเรื่องไม่มีเหตุผลความจำเป็น แต่เจตนาจัดทำเพื่อหาประโยชน์ จึงต้องสกัดไม่ให้ผ่าน พรบ.ร่วมทุนฯ เพื่อไม่ให้มีรายละเอียดต้องแจกแจง ทำให้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้ช่วยชี้ว่าไม่ต้องร่วมทุน เมื่อการจัดซื้อคอรัปชั่นมาตั้งแต่ต้น ตั้งแค่คิดโครงการ จ้างคอนเซาท์ กำหนดทีโออาร์ ล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์แก่รายใดรายหนึ่งหรือไม่ จากนั้นจึงมากำหนดราคากลางให้สูงเกินว่าควรเป็น 10-20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เป็นส่วนแบ่ง”
กฎหมายมาตรา 103/7 จึงกำหนดให้หน่วยราชการเปิดเผยรายละเอียดของโครงการจัดซื้อจัดจ้าง ว่ามีวิธีคำนวณราคากลางอย่างไร และประกาศราคากลางในเว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อให้งานตรวจสอบทำได้ เช่น กำหนดราคากลางไว้ 990 ล้านบาท จะต้องแสดงให้เห็นด้วยว่ามีวิธีคำนวณอย่างไร
และในกรณีที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ คู่สัญญาทั้งนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ต้องยื่นแสดงบัญชีรับ-จ่ายเป็นรายโครงการต่อกรมสรรพากร เพื่อปิดโอกาสของการใช้จ่ายเงินที่ได้รับมาตามโครงการไปในทางที่ไม่ชอบ เช่น นำเงินสดจำนวนมากไปแทงว่าใช้จ่ายในทางที่ติดตามตรวจสอบไม่ได้
ดังนั้น การรับจ่ายต้องผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้น ยกเว้นเงินสดไม่เกิน 3 หมื่นบาท ซึ่งกฎหมายมาตรานี้ ครอบคลุมการใช้จ่ายงบประมาณแทบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาจ้างพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สัญญาจ้างที่ปรึกษา เงินอุดหนุน เงินวิจัย
แต่พอมาถึงทางปฏิบัติ เรื่องการเปิดเผยราคากลาง ปปช.ถูกกำหนดโดยกฎหมายให้กำหนดหลักเกณฑ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 120 วัน เพราะต้องการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เรื่องนี้ได้รายงาน ครม.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 แต่เปลี่ยนผ่านทางการเมืองเรื่องก็เงียบไป จนกระทั่งมีการนำมาพิจารณาอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2554
แต่ ปปช. ทราบว่า มติ ครม. ไม่เป็นไปตามมาตรา 103/8 คือไม่มีการประกาศให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการภายใน 180 วัน แต่มีมติว่ากระทรวงการคลังมีมาตรการคล้ายๆ กันอยู่แล้ว ให้กระทรงการคลังรับข้อเสนอขอ ปปช. ไปปรึกษาหารือว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติหรือไม่
ปปช.จึงได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้พิจารณาทบทวนมติ ครม. พร้อมระบุว่า มติ ครม. 13 ธันวาคม 2554 ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ปปช. เองไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาให้ ครม. พิจารณาได้ แต่โดยหลักการ ครม. ควรทราบว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ควรต้องดำเนินการให้เร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
ในเรื่องนี้ “ภักดี" มองว่า ขณะนี้ ครม.อ้างเหตุผลที่ว่า เกรงจะเป็นปัญหาทางปฏิบัติ ซึ่งในทางปฏิบัติไม่น่าจะมีปัญหา เพราะระเบียบว่าด้วยการพัสดุฯ กำหนดให้กำหนดราคากลางอยู่แล้ว ปปช. เพียงแต่ขอให้เปิดเผยเพื่อให้สามารถตรวจสอบว่าราคาอ้างอิงมีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งไม่เพิ่มภาระให้หน่วยงาน เพราะต้องประมูลผ่านอี-ออคชั่น แม้ว่า ครม. จะยังไม่มีมติสั่งการให้หน่วยราชการเปิดเผยราคากลาง แต่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555
โดยคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีหน้าที่ต้องยื่นแสดงบัญชีรับ-จ่าย เป็นรายโครงการต่อกรมสรรพากร รายใดจงใจหลีกเลี่ยง หรือยื่นเท็จ จะถูกขึ้นบัญชีเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเป็นคู่สัญญา เสมือนผู้ทิ้งงาน
ถือว่ากฎหมาย ปปช. ฉบับใหม่ เพิ่มอำนาจและเครื่องมือสลัดการทุจริตที่นับวันจะสูงขึ้น !