
ยื้อๆ ดันๆ กันอยู่ 2 วัน 2 คืน รวมเวลากว่า 21 ชั่วโมง
ในที่สุดที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ได้ลงมติ 307 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
รับทราบข้อสังเกตรายงานผลศึกษาวิจัยแนวทางสร้างความปรองดองของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน
ส่งต่อให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการ พร้อมแนบบันทึกความเห็นต่าง ของคณะกรรมาธิการ เสียงข้างน้อยที่ อยู่ในภาคผนวกส่งไปด้วย
ที่สังคมต้องจับตาจากนี้คือ รายงานผลศึกษาวิจัยปรองดองซึ่งการเมือง 2 ขั้วยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันใน 2 ประเด็นใหญ่คือ
การนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และการเพิกถอนผลทางกฎหมายในคดีที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.
จะถูกนำไปต่อเติมเสริมแต่งเพื่อ ช่วยเหลือคนคนเดียวอย่างที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ตั้งแง่
หรือแม้แต่สถาบันพระปกเกล้าเจ้าของผลงานวิจัยเองยังแสดงความกริ่งเกรงว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงอาจเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่
หรือว่าจะเป็นการปรองดองเพื่อเคลื่อนย้ายประเทศไทยทั้งประเทศ ออกจากปลักความขัดแย้ง ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือใครคนใดคนหนึ่ง
และจะมีการนำรายงานผลวิจัยปรองดองนี้ไปสานเสวนา เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ
อย่างที่ ส.ส. ซีกรัฐบาลตกปากรับคำไว้ต่อสภาจริงหรือไม่
จุดหมายปลายทางความปรองดองจะปรอง ดองกันได้จริงอย่างที่สังคมคาดหวัง หรือจะ ยิ่งแตกแยกกันหนักกว่าเดิม ต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เริ่มนับหนึ่ง จากการแก้ไขมาตรา 291 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.
มาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ความคืบหน้าล่าสุด คณะกรรมาธิการพิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มี นายสามารถ แก้ว มีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นประธานดำเนินการแปรญัตติเสร็จสิ้นทุกมาตรา
กำหนดปฏิทินเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯ วาระ 2 วันที่ 10-11 เม.ย. ถ้าไม่มีปัญหาคาดว่าจะเข้าสู่วาระ 3 ภายในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน
จำนวน ส.ส.ร. ตามร่างกรรมาธิการตั้งไว้ที่ 99 คน
แยกเป็นมาจากการเลือกตั้ง 77 คน จากผู้ ทรงคุณวุฒิ 22 คน ในส่วนของการเลือกตั้งให้ นำกฎหมายการเลือกตั้งท้องถิ่นมาบังคับใช้โดยอนุโลม
อย่างไรก็ตาม กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เฉกเช่นเดียวกับกระบวนการสร้างความปรองดองที่เพิ่งผ่านการรับรองจากสภาไปหมาดๆ
คือถูกการเมืองอีกฝ่ายหยิบยกไปเป็นประเด็นโจมตีว่า รัฐบาลเพื่อไทยกำลังอาศัยการเป็นเสียงข้างมากในสภา ดำเนินการ 2 ทางแต่จุดหมายเดียวกัน
ในการนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศโดยไม่มีคดีความติดตัว โดยนำเสนอวาทกรรมขึ้นใหม่ว่าเป็น "ความยุติธรรมของผู้ชนะ"
ท่ามกลางกระแสปรองดอง-ปรองเดือด
ประชาธิปัตย์ยังลากเอาสถาบันพระปกเกล้าเข้ามาร่วม เป็นคู่ขัดแย้งกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกเพื่อไทย
ถึงขั้นมีการออกแถลงการณ์ข่มขู่จะถอนผลวิจัย ถ้าหากสภานำไปบิดเบือนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใคร บางคน
ทำให้ ส.ส.เพื่อไทย จำนวนหนึ่งต้องเปิดโต๊ะแถลงตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง ออกปากไล่ตะเพิดเลขาฯ สถาบันพระปกเกล้าพ้นจากตำแหน่ง
ขณะที่ "บิ๊กบัง" พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะประธานกรรมาธิการก็ถูก ส.ส.ประชาธิปัตย์ รุมจิกตีกลางสภา กล่าวหาว่าย้ายขั้วเปลี่ยนข้างไปอยู่กับฝ่ายทักษิณ
แต่ท่าทางเงอะๆ งะๆ ของ "บิ๊กบัง" ตามประสาอดีตผู้นำรัฐประหารที่ไม่คุ้นชินกับการเป็น ส.ส. น้องใหม่ ก็ช่วยได้ในแง่ของการเรียกคะแนนเห็นใจ
จนกลายเป็นประชาธิปัตย์เสียเองที่สังคมคนภายนอกมองว่าน่าเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมดื้อดึง
ก้าวข้ามไม่พ้นพ.ต.ท.ทักษิณเสียที
กับตัวเลข 307 เสียงที่ลงมติรับทราบรายงานผลวิจัยปรองดอง
จำนวนเสียงที่งอกเกินออกมาจากต้นทุน 299 เสียงของรัฐบาลที่ยังไม่ได้หักเสียงจากบางคนที่เจ็บป่วยติดธุระ ไม่มาประชุม กับเสียงประธานและรองประธานสภาอีก 3 คน
แน่นอนว่าต้องมาจากพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีความเห็นต่างจากประชาธิปัตย์
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงฉายภาพให้เห็น ว่าประชาธิปัตย์กำลังถูกทิ้งให้ โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางวงล้อมปรองดอง
อีกทั้งยังเป็นปริศนาให้หลายคน ต้องขบคิดต่อการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวในงานครบรอบ 12 ปี ผู้ตรวจการแผ่นดิน
เกี่ยวกับคนทรยศชาติ และคนที่เคยทำความดีจนได้รับการยกย่องสรรเสริญศรัทธา แต่ท้ายที่สุดไม่สามารถรักษาความดีที่ทำไว้ได้
ว่า "ป๋าเปรม" พูดไปตามบท บาทฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง หรือตั้งใจพูดฝากไปถึงใคร กันแน่
ทั้งยังทิ้งรอยยิ้มไว้แทนคำตอบ เมื่อสื่อมวลชนถามถึงข้อเสนออยากให้ "ป๋าเปรม" จับเข่าเจรจากับ "ทักษิณ" ซึ่งเปรียบเสมือนการวางศิลาฤกษ์ความปรองดองในชาติ
ตามด้วยเรื่องพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง
เมื่อมีการเผยแพร่ประกาศสำนัก นายกรัฐมนตรีเรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์กรณีพิเศษแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 6 เม.ย.2555
ใจความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยา ภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นกรณีพิเศษ
หลังจากเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นกรณีพิเศษ
และเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2554 ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก ให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ไม่เกี่ยวกับการเมืองก็จริง
แต่ก็ทำให้นักการเมืองที่เคยใช้วาจาดูหมิ่นดูแคลนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือพวกชอบแอบอ้างสถาบัน ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม ผูกขาดความจงรักภักดีไว้กับตัวเองฝ่ายเดียว
ต้องคิดหนักถ้ายังจะฝืนใช้มุขเดิมๆ
