มติชน 22 เมษายน 2555 >>>
มติชนทีวีสัมภาษณ์ "สุณัย ผาสุข" ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ถึงประเด็นปรองดอง-นิรโทษกรรม
สังคมไทยควรจัดการกับบาดแผลความขัดแย้งด้วยการลืมแล้วเริ่มต้นใหม่ หรือควรค้นหาข้อเท็จจริงก่อนให้อภัยแล้วอยู่ร่วมกัน
สังคมไทยโชคร้ายกว่าสังคมอื่นทั่วโลกที่เคยเผชิญความขัดแย้งกันมาเพราะคนไทยไม่มีโอกาสแม้กระทั่งรู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่สามารถไปไกลถึงคำถามว่าเราจะ “เลือกจำ” หรือ “เลือกลืม” เราจะเลือกลงโทษหรือนิรโทษกรรม คือขอแค่ให้รู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น คนไทยก็ยังไม่มีสิทธิรู้ ทั้งๆ ที่สังคมไทยเผชิญความรุนแรงขนาดใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภาทมิฬ จนกระทั่งการรัฐประหารครั้งต่างๆ เหตุการณ์ความขัดแย้งที่เข้ารหัสกันเป็นสีเหลือง สีแดง ทุกเหตุการณ์ ภาพความเป็นจริง หรือ ข้อเท็จจริง ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องลึกลับ
เพียงแต่ว่า รู้กันนัยๆ ว่าใครน่าจะเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่มีข้อเท็จจริง ที่ยอมรับกันโดยทุกฝ่าย ว่าเรื่องคืออะไร คู่ขัดแย้งคือใครกันแน่ แล้วคู่ขัดแย้งเหล่านั้น มีบทบาทอย่างไร สร้างความเสียหายแค่ไหน เราไม่มีโอกาสได้รู้เลย สิ่งที่เรียกว่าข้อเท็จจริง ชุดของข้อเท็จจริง ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะคงไม่มีชุดที่ยอมรับร่วมกันทั้งหมด แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย ฉะนั้น สังคมไทยโดยรวม เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นคู่ขัดแย้ง เราจึงทวงหาความรับผิดชอบไม่ได้ แล้วยิ่งกว่านั้น คนที่เป็นเหยื่อ ทั้งในทางตรงทางอ้อม ก็จะแสวงหาความยุติธรรมไม่ได้เลย เพราะไม่รู้จะไปแสวงหาจากใคร
แม้แต่รัฐบาลในช่วงเหตุการณ์ความรุนแรง ก็อาจจะไม่ใช่คู่ขัดแย้งตัวจริงงั้นหรือ
ความขัดแย้งทางการเมืองแต่ละครั้ง คู่กรณีอาจจะไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในแสงสว่าง อาจจะเป็นบุคคลที่อยู่ในเงามืด ไม่ได้อยู่ในโครงสร้างอำนาจโดยตรง แต่ยังมีอิทธิพล อยู่เหนือโครงสร้างอำนาจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็น ต้องเปิดเผยออกมา ว่าใครบ้างเป็นคู่ขัดแย้ง
คำถามอย่างที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถาม พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน เป็นคำถามที่สำคัญ ส่วน พล.อ.สนธิ จะบอกว่าให้ตาย ก็บอกไม่ได้ อย่างนั้นเป็นคำตอบที่สังคมไม่ควรจะยอมรับแล้วปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะเหตุการณ์รัฐประหาร เป็นเหตุการณ์สำคัญ เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ เป็นชนวนของความขัดแย้งที่เกิดต่อเนื่องมา ความแตกแยกที่เกิดในสังคม ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่ง ก็พันมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร ฉะนั้น ต้องตอบว่า การรัฐประหาร เป็นการตัดสินใจของฝ่ายทหาร หรือมีฝ่ายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำเพื่อผลประโยชน์ใครต้องมีคำตอบ แล้วยิ่ง พล.อ.สนธิ บอกว่า ให้ตายก็บอกไม่ได้ นั่นเท่ากับว่ามีการปกปิดข้อเท็จจริงอะไรบางอย่าง ซึ่งสังคมไม่ควรปล่อยผ่าน โดยเฉพาะ พล.อ.สนธิ เอง เป็นคนเดียวกับผู้ต้องการจะผลักดันการปรองดอง โดยปกปิดข้อเท็จจริง อย่างนี้ก็มีปัญหาแล้ว
มองความเป็นไปได้เรื่องการปรองดองอย่างไร
ผมมองว่าสิ่งที่เป็นข้อเสนอผ่านจากสถาบันพระปกเกล้า เข้าสู่กรรมาธิการการปรองดอง แล้วได้รับการรับรองจากรัฐสภามาแล้ว มันไม่ใช่การปรองดอง มันคือ “การสมยอมกัน” ของผู้ที่มีอำนาจในฝ่ายต่างๆ เพราะในข้อเสนอที่ผ่านมาจากสถาบันพระปกเกล้า เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า จะสนับสนุนการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ของ คอป. ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน แต่การเผยแพร่รายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น จะทำก็ต่อเมื่อสังคมมีความพร้อม มีเงื่อนไขที่เหมาะสม สรุปแล้วคือเมื่อไหร่ เพราะใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าเงื่อนไขทางสังคมพร้อมแล้ว แล้วที่สำคัญคือรายงานดังกล่าวบอกว่าจะมี “การปกปิด” รายชื่อคนที่เกี่ยวข้อง เพราะนั่นเท่ากับคุณไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับสังคมเลยว่าใครเป็นคู่ขัดแย้ง แล้วคู่ขัดแย้งก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกหรือผิด ทำตามกรอบหรือนอกกรอบ เช่น วาทกรรม บอกว่าฝ่ายหนึ่งเผาบ้านเผาเมือง ขณะเดียวกันก็มีฝ่ายที่ถูกบอกว่าเป็นฆาตกร
ผู้ได้รับผลกระทบ ก็ไม่ทราบว่าใครกระทำ แล้วเขาจะตัดสินใจได้อย่างไรว่า ผู้กระทำควรได้รับการลงโทษ หรือได้รับการนิรโทษกรรม หรือให้อภัย
การที่เรียกร้องบอกว่าลืมๆ กันไปเถอะแล้วเดินหน้าไป แต่คุณยังไม่ให้ข้อเท็จจริงกับสังคมเลย มันเป็นสิ่งที่ผมมองได้ 2 ทางคือ เป็นการดูถูกความเป็นมนุษย์ ของผู้ที่ถูกกระทำ การดูถูกสังคมทั้งสังคมผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำความรุนแรงนั้นๆ แล้วบอกให้ลืมกันไป มันไม่ใช่ทางออกอะไร
คือถ้าใช้ตรรกะว่า ลืมกันไปแล้วก้าวเดินไป ผมมองว่าเป็นการตอกย้ำวัฒนธรรม การทำผิดแล้วไม่ต้องรับผิด เป็นการฟอกขาว ของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยปกป้องผู้ที่กระทำผิด ให้อยู่ในเงามืดต่อไป สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกส่งเสริม ไม่ว่าผ่านทางงานวิชาการ หรือกระบวนการทางการเมือง การปกปิดให้ผู้กระทำผิดยังอยู่ในเงามืดต่อไป โดยไม่ต้องรับผิดเป็นสิ่งไม่ควรสนับสนุน
แต่ถ้าข้อเท็จจริงเปิดเผยแล้ว คู่ขัดแย้งยอมรับในสิ่งที่ทำไป คนได้รับผลกระทบทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเรามาตัดสินใจร่วมกันทั้งสังคม ว่าเราจะให้ความยุติธรรมผ่านการดำเนินคดี หรือเราจะเริ่มการนิรโทษกรรมเพื่อก้าวเดินต่อไป ให้อภัยกัน ถ้าอย่างนั้นจึงจะเกิดการปรองดองที่แท้จริง แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในไทยตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใกล้เคียงกับการปรองดองเลย แต่เป็นการสมยอม การฮั้วกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายที่มีความขัดแย้งกันในอดีต ที่เป็นผู้นำทางการเมืองขั้วต่างๆ อยู่ร่วมกันได้ มันเป็นข้อตกลงทางยุทธการทางการเมือง ที่ไม่มีผลอะไรยั่งยืนเป็นผลประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่ให้อยู่ร่วมกันได้ในระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะขัดแย้งได้ต่อไปอีกครั้งในอนาคต แล้วเป็นบทเรียนว่า ใช้ความรุนแรง เพื่อถึงเวลาหนึ่งก็ฮั้วกันใหม่ แล้วซุกมือไว้ในหีบ แล้วก็เดินต่อไป แล้วเดี๋ยวก็รุนแรงกันใหม่อีก สังคมไทยไม่ควรจะยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก
วลีที่ว่า “คนไทยลืมง่าย” มันยังใช้ได้อยู่ หรือมันกำลังปะทะกับโซเชียลมีเดีย ที่หลายคนสามารถเข้าถึงขณะนี้
ผมเป็นคนไทย ผมไม่ลืมนะ แล้วผมไปคุยกับคนที่ถูกกระทำโดยตรงหรือครอบครัวที่ถูกกระทำโดยตรง ทุกคนไม่ลืม วลีที่บอกว่าคนไทยลืมง่าย เป็นวลีที่ดูถูกความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนที่ถูกกระทำจากความรุนแรง ไม่ว่าเหตุการณ์ใด ไม่มีใครลืม ทุกคนอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้กระทำ แล้วหลังจากนั้นค่อยดูว่า เขากระทำด้วยเหตุอะไร จะมาสรุปว่า “ฟื้นฝอยหาตะเข็บแล้วเจ็บปวด” อย่างนั้นลองตัวเองมาเป็นผู้ถูกกระทำจะยังพูดอย่างนั้นได้หรือไม่
ถ้าต้องการความยุติธรรมมันเลือกฝ่ายไม่ได้ มันต้องไม่มีสี ถ้าหากว่า เราต้องการทำให้สังคมไทยทั้งหมดหลุดออกจากวังวนของการใช้ความรุนแรง การทำผิดแล้วไม่ต้องรับผิด เราต้องใช้ความยุติธรรมที่ไม่เลือกฝักฝ่ายไม่มีสี
ปัญหาการหา “ข้อเท็จจริง” ในแต่ละรัฐบาล
ปัญหาที่ผ่านมาก็คือว่า ในสมัยรัฐบาลของประชาธิปัตย์ ก็พุ่งเป้าไปที่การไล่บี้ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของผู้ชุมนุม พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ก็พลิกการตรวจสอบมาที่ไล่บี้การกระทำที่เกิดจากทางฝ่ายทหาร ขณะเดียวกันก็มีการปฏิเสธว่าทางฝั่งผู้ชุมนุมไม่ได้ใช้ความรุนแรงเลย
ก็เลยกลายเป็นเอาการเมือง เอาสี มาจับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะไม่ตอบอะไร กลายเป็นว่าการเมืองจะอย่างไรก็มีขั้ว การเมืองจะอย่างไรก็มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
สิ่งที่ช่วยได้ก็คือ ต้องมีชุดของข้อเท็จจริงที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง แต่ปัญหาก็คือ ชุดข้อเท็จจริง ที่เป็นอิสระและเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง ในบ้านเมืองเรา มันไม่ยอมคลอดเสียที การทำงานของ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ยังไม่สามารถทำงานผลิตรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาได้ ผ่านมา 2 ปีแล้ว การทำงานของ “คอป.” ก็ยังไม่สามารถผลิตรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาได้
ซึ่งจริงๆ ทั้ง 2 องค์กร ก็มีภาระที่จะต้องชี้แจงต่อสังคมว่า ผ่านมาแล้ว 2 ปีรายงานอยู่ที่ไหน มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ก็ต้องบอกให้สังคมรู้ ทำงานไปกี่เปอร์เซนต์แล้ว แล้วจะเสร็จเมื่อไหร่
แต่เมื่อไม่มีชุดความจริงเลย ก็ตกอยู่ในสภาพนี้ คือ คนที่อยู่ตรงข้ามเสื้อแดง สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็จะพอใจเมื่อมีการไล่เบี้ยทางฝั่งคนเสื้อแดง จับคนเสื้อแดงไปขังคุก แต่พอเวลาผ่านไป เราก็พบข้อเท็จจริงว่า คนเสื้อแดง ถูกตั้งข้อหาร้ายแรงเกินความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น เป็นผู้ชุมนุม แต่ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย แล้วถูกคุมขังเป็นเวลานาน แต่พอมีการไต่สวนแล้ว ศาลก็ยกฟ้อง คนเหล่านั้น ก็ติดคุกฟรี ซึ่งจะเอาผิดกับประชาธิปัตย์ หรือ เอาผิด “ศอฉ.” ได้ไหม
อย่างกรณีผังล้มเจ้า ล่าสุด ดีเอสไอ บอกว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีต่อไป คนที่จะได้รับผลกระทบ จากผังล้มเจ้า เขาจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาล และ ศอฉ. ในขณะนั้น ได้หรือไม่ นี่ก็เป็นประเด็นใหญ่
ในทางกลับกัน พอย้อนเวลาปัจจุบัน ทางฝั่งผู้ชุมนุมเสื้อแดง ผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ก็ย่อมมีความพอใจ กับการที่เริ่มมีการสืบสวนดำเนินคดีจากฝั่งเจ้าหน้าที่ แต่ปัญหาคือ ความยุติธรรม มันเลือกข้างไม่ได้ ทุกคนที่เป็นเหยื่อควรได้รับความยุติธรรม เท่าเทียมกัน ขณะที่ผู้กระทำความผิดและละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีการละเว้นอะลุ่มอล่วยให้เพราะคนนั้นสังกัดในฝ่ายที่กุมอำนาจการเมืองอยู่
ช่วยวิจารณ์การทำงานตรวจสอบ “ข้อเท็จจริง” ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ และรัฐบาลเพื่อไทย แตกต่างกันอย่างไร
ปัญหาใหญ่ คือการเอาการเมืองมาผลักดันการดำเนินตามกระบวนการยุติธรรม ในฝั่งประชาธิปัตย์ ชัดเจนเรื่องการกล่าวหา ผู้ชุมนุมร่วมกับ นปช. อย่างเหวี่ยงแห แล้วตั้งข้อหาเกินเลย ร้ายแรง กว่าความเป็นจริงไป โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวางเพลิงทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด อันนี้เห็นชัดเจน การสร้างทฤษฎีสมคบคิด กรณีผังล้มเจ้า แล้วใช้ไปกดดันขับเคลื่อนการจับกุม การเรียกคนมาสอบสวนโดยอาจจะไม่มีข้อหาชัดเจน การเฝ้าระวังติดตาม การปิดกั้นสื่อ โดยอาศัยประเด็นต่อเนื่องจากผังล้มเจ้า มาปิดกั้นสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์และสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุชุมชน สร้างความเสียหายมากมายในเชิงสิทธิมนุษยชน ในเชิงเสรีภาพในการแสดงออก นั่นเป็นปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เกิดขึ้น
แล้วเอาเข้าจริง สิ่งที่ประชาธิปัตย์กล่าวหาไว้ เรื่องที่มีกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งรายงานการตรวจสอบของฮิวแมนไรท์วอทช์ ก็ชี้ไปในทางว่ามีกองกำลังติดอาวุธจริง แต่ในยุคประชาธิปัตย์ การสอบสวนในประเด็นดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้สุด คือ ออกมากล่าวหา ออกมาแถลงข่าวว่าออกมาจับคนที่โน่นที่นี่ได้ แล้วบัดนี้คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ผลสำเร็จในการสอบสวนอยู่ที่ไหน นั่นเป็นปัญหาของฝ่ายประชาธิปัตย์ แล้วสิ่งที่หนักหนาของประชาธิปัตย์ คือการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ของฝ่ายที่ถูกมองจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่าฝักใฝ่ นปช. ฝักใฝ่คุณทักษิณ มีการปิดกั้นสื่ออย่างกว้างขวางทั้งอินเตอร์เนตและวิทยุชุมชน
ชุดของข้อเท็จจริง จึงมีชุดเดียว เพราะคุณปิดกั้นคนที่แสดงออก จึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายเดียว คือฝ่ายที่มีแนวคิดไปในทางที่รัฐบาลสนับสนุน แต่ฝ่ายที่รัฐบาลไม่สนับสนุน ก็ถูกผลักลงใต้ดิน ก็กลายเป็นสื่อใต้ดิน แล้วก็สื่อสารกันเอง มันยิ่งตอกย้ำ การแยกขั้วในสังคม
แทนที่คนเห็นต่างจะสามารถแสดงความคิดเห็นในพื้นที่เปิด แล้วอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีความขัดแย้งกัน แต่นั่นคือสภาพที่ควรจะต้องเกิด ไม่ใช่คุณเปิดพื้นที่ ในที่สว่างให้คนที่รัฐบาลสนับสนุน ส่วนคนที่รัฐบาลไม่สนับสนุน ลงพื้นที่ใต้ดิน อย่างงั้น ฝ่ายหนึ่งก็พูดคุยอย่างคนที่เห็นด้วยกันเองอยู่ อีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะพูดแต่คนที่เห็นด้วยด้วยกันเอง ความคิดก็จะผลักไปสุดโต่งมากขึ้น ไม่มีทางที่จะมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างไม่ใช้ความรุนแรง นั่นเป็นมรดกที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สร้างขึ้น
แล้วพอเปลี่ยนพลิกผันมาเกิดการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยเข้ามา ผมมีความหวังว่าอย่างน้อยพรรคเพื่อไทย มีการเคลื่อนไหวใกล้ชิดกับการขับเคลื่อนของ นปช. มาก่อน มีการพูดถึงประเด็นด้านประชาธิปไตยด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสิทธิเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างเข้มข้นมาก เราก็มีความคาดหวังว่า ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยทำงาน ฟื้นฟูการเคารพสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ หลักประชาธิปไตย เราจะได้เห็น และจริงๆ ในคำแถลงนโยบาย ของนายกฯยิ่งลักษณ์ มีประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนค่อนข้างเยอะ ก็มีความคาดหวังว่า เออน่าจะทำ
ที่เริ่มก่อนก็คือประเด็นมาตรา 112 แต่ว่า แต่พอเอาเข้าจริง ในการอภิปรายคำแถลงนโยบาย ตัวรองนายกรัฐมนตรี ก็ลุกขึ้นมาชี้แจงอย่างต่อเนื่องหลายหน ว่าจะไม่แตะต้องเรื่องการใช้ กฎหมายมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือ ในการปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรามีข้อกังวลว่า การใช้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับเท่าที่ผ่านมา มันเป็นการใช้กฎหมายที่มีการตีความ เพื่อประโยชน์ในทางการเมือง แล้วเราก็เรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมาย มาตรา 112 ด้วย
ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันกลับบอกว่า จะไม่แตะต้องใดๆ ในข้อเสนอเหล่านี้ แล้วหลังจากนั้น สังคมไทย ก็มีการขับเคลื่อนผ่านนิติราษฎร์ ผ่านกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ซึ่งรัฐบาลก็ยังตอกย้ำจุดยืนเหมือนเดิม คือ ไม่ว่านานาชาติจะเรียกร้อง หรือคนในสังคมไทยเรียกร้อง ก็จะไม่แตะต้องประเด็นนี้ แล้วล่าสุดก็คือ ประเด็นที่มาตรา 112 ถูกหยิบยกขึ้นมา ไต่ถามและพิจารณา ในที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนในสหประชาชาติ ที่เจนีวา แล้วคำตอบของรัฐบาลไทย ก็คือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่อง แบบไทยๆ สังคมไทยเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ให้คำตอบได้ แล้วก็เป็นประเด็นเดียวที่ไม่มีการรับข้อเสนอแนะใดๆ จากประชาคมระหว่างประเทศเลย ขณะที่ข้อท้วงติง ข้อแนะนำอื่นๆ ในด้านสิทธิมนุษยชน รัฐบาลไทยยังรับบ้าง
แต่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกและมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รัฐบาลไทยไม่รับเลยสักข้อ
ส่วนความยุติธรรม ที่บุคคลถูกตั้งข้อกล่าวหาในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ควรได้รับการทบทวน ควรได้รับสิทธิการประกันตัวหรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่า คนที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยังถูกดำเนินคดีต่อไป ทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินความผิด ยกตัวอย่าง “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ก็ชัดเจนว่า ยังไม่มีการพิพากษาเลย แต่สมยศ เหมือนถูกตัดสินจำคุกล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งไม่มีท่าทีจากรัฐบาลที่จะแก้ไขสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ การแยกเอาคนเสื้อแดงออกจากที่คุมคังนักโทษทั่วไป ก็เป็นพัฒนาการส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นเรื่องเอาคนเหล่านี้มาตรวจสอบข้อหาที่ถูกตั้งไป เหมาะสม หรือเกินความจริงไปหรือไม่ ยังไม่มีความคืบหน้าในส่วนนั้น ซึ่งถ้าทำได้ก็จะดี
นอกจากนั้น ก็มีความคาดหวังว่า ท่าทีต่อการเคารพสิทธิมนุษยชน พรรคเพื่อไทย น่าจะทำได้ดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะวิจารณ์ประชาธิปัตย์ไว้เยอะ ว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน แต่พอสมัยปัจจุบัน ท่าทีเรื่องการตั้งวอร์รูมพิเศษมาตรวจสอบเวบไซต์ กลับมีการแข่งกันทำสถิติว่าปิดเวบไซต์เท่าไหร่แล้ว อันนี้ก็เป็นท่าทีที่น่ากังวล
มาตรการเยียวยาที่รัฐบาลชุดนี้ผลักดัน เพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียจากความรุนแรงหรือไม่
การเยียวยา เป็นสิ่งที่จำเป็น ดีใจที่เห็นรัฐบาลกำหนดเป็นมาตรการหลัก แต่จะอย่างไร การเยียวยาก็เป็นแค่ปลายน้ำ อย่างที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้พูดคุยกับเหยื่ออย่างต่อเนื่อง เขาบอกว่ายินดีที่มีการเยียวยา แต่เขาอยากรู้มากเหมือนกันว่า ใครเป็นคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บ ใครเป็นคนที่ทำให้คนที่เขารักตายไป เขาอยากรู้ด้วย แต่เยียวยาต้องคู่กับความยุติธรรม ข้อเท็จจริงด้วย
ฝ่ายแกนนำ นปช. ระบุว่า เห็นด้วยกับญาติฝ่ายทหารผู้เสียชีวิต แต่ฝ่ายเสื้อแดงเอง ก็เรียกร้องให้บุคคลในรัฐบาลอภิสิทธิ์ พิสูจน์ข้อเท็จจริงในสมัยนั้นด้วย
จริงๆ สาเหตุการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ค่อนข้างชัด ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศรีษะ แต่การเมืองก็เข้ามาแทรกกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่สมัยประชาธิปัตย์ และปัญหาคือ ไม่มีการแถลงข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้น เช่น ว่ามีการชันสูตรพลิกศพหรือไม่ นำมาสู่การตั้งข้อสงสัยกันได้ อย่างไรก็ตาม หากข้อเท็จจริง ไม่เกิดในยุคประชาธิปัตยน์ ก็ต้องทำให้เกิดในยุคนี้
ผมว่าไม่แฟร์ ถ้าจะไปถามว่าทำไมเพิ่งมาถามตอนนี้ อย่างเช่น ครอบครัวญาติผู้เสียชีวิต ทางฝ่ายทหาร เขาก็ถามมาต่อเนื่องเพียงแต่เขาเองก็ไม่ได้รับคำตอบเช่นเดียวกับคนเสื้อแดง ไม่ได้รับคำตอบจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ฉะนั้น ปัจจุบัน เขายังถามคำถามเดิม แต่เปลี่ยนรัฐบาล จึงต้องดูว่ารัฐบาลปัจจุบัน จะทำได้ดีกว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ไหม
คำว่า “ปรองดอง” แม้จะมีความหมายในทางบวก แต่จะกลายเป็นอันตรายหรือไม่ หากมวลชนยังมีข้อสงสัยต่อระดับนำของทั้ง 2 ฝ่าย
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผมมองว่า ไม่เคยมีการปรองดองอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่เกิดคือการฮั้ว การสมประโยชน์ระหว่างชนชั้นนำในแต่ละยุคสมัยที่ต้องการ ให้ตัวเองพ้นผิดไปจากการทำผิด ทำความรุนแรงไปแล้ว ทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นผิดไปได้ แล้วในกระบวนการดังกล่าว ก็มีสร้างการนิรโทษกรรมขึ้นมา แล้วอาจจะมีเหยื่อผู้ถูกกระทำได้รับอานิสงส์ไปด้วย อย่างเหตุการณ์เดือนตุลา จะมีนักศึกษาที่เป็นนักโทษการเมือง ได้รับอานิสงส์จากการนิรโทษกรรม เพราะผู้สั่งประหัตประหารประชาชน ผู้ลงมือประหัตประหารประชาชน ต้องการให้ตัวเองพ้นผิด ก็นิรโทษกรรมวงกว้าง แล้วนอกจากนั้น ก็คล้ายเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คือ ผู้ถูกกระทำ พลอยได้ เป็นของแถม ไม่ใช่เขาเจตนาจะให้ได้รับอานิสงส์จากการนิรโทษกรรม คำตอบก็ไม่เคยได้มี
ฉะนั้น เราจะต้องกดดันให้คู่ขัดแย้ง เปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็นคู่ขัดแย้ง แล้วยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกระทำ หลังจากนั้นจะได้วินิจฉัยทั้งสังคมว่าจะนิรโทษกรรมหรือไม่ หรือจะดำเนินคดี ซึ่งไม่ควรอยู่แค่ห้องประชุมรัฐสภา หรือห้องประชุม ครม. รูปแบบที่ดีที่สุดคือ มีรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมา แล้วอาจจะมีการทำประชาพิจารณ์ สำรวจความคิดเห็นว่า สังคมไทย ควรจะเดินหน้าต่อไป ยังไง เราไม่ต้องการดึงสังคมไว้ แต่การเดินหน้า ต้องแสวงหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่ให้ชนชั้นนำมาคิดหาทางออก โดยที่ไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนอื่นเลย โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้ถูกกระทำ
พ.ต.ท.ทักษิณ มีสถานะอยู่ในที่แจ้งหรือที่มืดของคู่ความขัดแย้ง
คุณทักษิณ ไม่ได้อยู่ในเงามืด ช่วงที่มีปัญหา เขาก็โฟนอินเข้ามา แสดงจุดยืนทางการเมือง ให้เห็นชัดเจนว่า สนับสนุนจุดยืนทางการเมืองเช่นไร อยู่ข้างใดสังกัดใด จะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป ฉะนั้น ผมไม่ได้มองว่าคุณทักษิณอยู่ในเงามืดนะ คุณทักษิณ อยู่ในที่สว่าง ตั้งแต่ต้นว่า นี่คือ คู่ขัดแย้งคนหนึ่ง แต่ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับคุณทักษิณสิ อยู่ในเงามืด
เราไม่รู้ว่า จริงๆ คู่ขัดแย้งของคุณทักษิณ มีใครบ้าง นอกเหนือจากพรรคประชาธิปัตย์ นอกเหนือไปจากฝ่ายกองทัพที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณ เพราะฝ่ายกองทัพเป็นองคาพยพหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้นที่เป็นศัตรูกับคุณทักษิณ หรือ กองทัพมีจุดยืนของกองทัพเองที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณ จุดนี้ทำให้เราต้องตอบกัน ฉะนั้น การตรวจสอบข้อเท็จจริง มันจึงมีประโยชน์ว่า คู่ขัดแย้งคือใครบ้าง
เพราะไม่งั้นจะอธิบาย เช่น ทฤษฎีหนึ่งอาจจะบอกว่า ที่กองทัพออกมาต่อต้านคุณทักษิณ เพราะกองทัพเป็นองคาพยพหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น รัฐบาลประชาธิปัตย์ มีนโยบายต่อต้านคุณทักษิณ กองทัพ จึงต่อต้านคุณทักษิณ และ นปช.
หรือ กองทัพ เป็นสถาบันที่มีความคิดของตัวเองเป็นเอกเทศ แล้วก็ต่อต้านคุณทักษิณ แล้วก็ต่อต้านจุดยืนของ นปช. กองทัพจึงมีการปฏิบัติเป็นเช่นนั้น ต้องมีคำตอบ หรือมีคู่ขัดแย้งอื่น ที่อยู่ในเงามืด มีอีกซีกหนึ่ง
แล้วบทบาทของสีอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับสีแดงละ เช่น บทบาทของเสื้อหลากสีคือใคร ใครให้การสนับสนุนเสื้อหลากสี กิจกรรมของเสื้อหลากสีมีอย่างไรบ้าง รู้หรือไม่
ทุกอย่างตอนนี้ ทางฝั่ง นปช. เราเห็นค่อนข้างชัด ว่าใครเป็นใคร มีบทบาทอย่างไร แต่ฝั่งตรงกันข้าม เรายังไม่เห็น ผมถึงย้อนกลับมาว่า คำถามที่ ถาม พล.ต.สนั่น ถาม พล.อ.สนธิ เป็นคำถามสำคัญ ซึ่ง พล.ต.สนั่น น่าจะถาม ต่อไปมากกว่านั้น นอกเหนือจากเหตุการณ์รัฐประหารแล้ว เหตุการณ์อื่นๆ ที่กองทัพ เข้าไปเกี่ยวข้อง มันเป็นอย่างไร ตอบได้หรือไม่ว่า เหตุผลความเป็นมาเป็นไป มันเป็นอย่างไร
ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มองว่ามีความคืบหน้า หรือแช่แข็ง
2 ปีที่ผ่านมา ถูกแช่แข็ง ไม่ปรากฎออกมาเลย แต่ละฝ่ายมีข้อเท็จจริงของตัวเองซึ่งผลิต ออกมา แล้วกลายเป็นข้อเท็จจริงที่เสริมความชอบธรรมฝ่ายตัวเอง ตำหนิการกระทำของฝ่ายตรงข้าม ทั้ง 2 ขั้ว ไม่ได้ทำให้สังคมเกิดการยอมรับในการเดินหน้าต่อไปได้ แต่เป็นเงื่อนไขที่เกลียดกันมากขึ้น
ในตอนนี้ แกนนำอาจจะบอกว่าจูบปากกันก่อน แต่ความเกลียดระหว่างมวลชน มันไม่ได้หมดไป ถ้าสักวันผู้นำซึ่งตอนนี้จูบกัน บอกว่ามาตบกันดีกว่า มวลชนก็พร้อมจะห้ำหั่นกันอีกรอบหนึ่ง เพราะความขัดแย้งมันไม่มีข้อเท็จจริงว่าใครถูกผิด เวลาปะทะกันใหม่ก็ปะทะกันแรง
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณทักษิณ เคยโฟนอินว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หมายถึง พล.อ.เปรม แต่ล่าสุด ก็ไม่ได้กล่าวโจมตี พล.อ.เปรม จะทำให้แกนนำกับมวลชน มีปัญหาหรือไม่ หรือท้ายที่สุด มวลชนจะถูกนำมาอยู่บนกระดาน เวลาที่ระดับนำต้องการนำมาต่อรอง
เหตุการณ์ที่เกิดในเดือนมีนา เมษานี้ จะเป็นการพิสูจน์ว่า มวลชนคนเสื้อแดง จะสามารถโตได้ด้วยตัวเองไหม เป็นตัวของตัวเองได้ไหม คือถ้าแกนนำ หรือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งอิงแอบกับมวลชนเสื้อแดง ยอมรับการอยู่ร่วมกันกับทางฝ่ายกองทัพ ทางฝ่าย พล.อ.เปรม
มวลชนคนเสื้อแดง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเผชิญหน้ากับกองทัพมาก่อน จากสิ่งที่คนเหล่านี้เรียกว่าเป็นอำมาตย์ เป็นฝ่ายอำมาตย์มาก่อน เขาจะอยู่ได้ไหม หรือว่า แกนนำ หรือพรรคเพื่อไทยชี้ไป ก็ตามกันไป จุดนี้ จะเป็นจุดทดสอบที่สำคัญ ว่าเขาจะโตขึ้นมาเป็น กลุ่มก้อนขบวนการทางการเมืองด้วยตัวเองได้ไหม หรือยังเป็นเครื่องมือของแกนนำ เป็นเครื่องมือการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย จุดนี้จะเป็นจุดตัดสินที่สำคัญ
ตอนนี้ ก็เป็นที่สังเกตว่า แกนนำ หรือพรรคเพื่อไทยด้วย ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของกองทัพอีกต่อไป การที่กองทัพออกมาให้สัมภาษณ์ มีความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างมาก เมื่อก่อน นปช. พรรคเพื่อไทย ยังวิจารณ์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีการพูดถึง
สิ่งที่เคยวิจารณ์ เช่น การคงอยู่ของอำมาตย์ ตอนนี้วาทกรรมอำมาตย์หายไป จากการพูดจากของทางฝ่ายแกนนำ แต่มวลชนเขายังพูดเรื่องนี้อยู่ แต่แกนนำไม่พูด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นคำถามว่า พลังของ นปช. พลังของเสื้อแดง จะโตได้ด้วยตัวเองไหม มีจุดยืนของตัวเองได้ไหม หรือแกนนำเฮ ไปที ก็ตามกันที
การอธิบายว่าสังคมการเมืองจะเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับชนชั้นนำ ขณะนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม ในเมื่อตอนนี้มีตัวแปรสำคัญคือ มวลชน
ผมมองว่า จุดเปลี่ยนสำคัญหลักๆ มากจากเหตุการณ์รัฐประหาร สังคมไทยมีการตื่น รู้ ค่อนข้างมาก แน่นอน มวลชน เป็นหลักที่สำคัญ พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ก็ต้องมาใช้ประโยชน์จากมวลชน แต่มวลชนเอง ก็ต้องก้าวให้พ้นการการถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองด้วย นับแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา ถึงปีนี้ จะเป็นปีสำคัญ พัฒนาการการตระหนักรู้ของเราจะโตไปได้มากกว่านี้ไหม หรือเราจะติดกับการเป็นเครื่องมือของผู้นำทางการเมืองต่อไป
