สัญญาณเตือน 'เพื่อไทย' พ่ายหมดรูปปทุมธานี

โพสท์ทูเดย์ 23 เมษายน 2555 >>>




นับเป็นความพลิกล็อกเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่พอควรกับผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปทุมธานี เขต 5 เมื่อวันที่ 21 เม.ย. หลังจากพรรคเพื่อไทยเจ้าของพื้นที่เดิมต้องปราชัยให้กับพรรคประชาธิปัตย์ไปอย่างราบคาบ
ความบกพร่องครั้งนี้สะท้อนได้จากตัวเลขหลังปิดหีบ สมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ พรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 24,119 คะแนน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าการเลือกตั้งใหญ่ปี 2554 อย่างมาก เนื่องจากครั้งนั้นกวาดคะแนนไปถึง 49,524 คะแนน
ขณะที่ เกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน แม้คะแนนลดลงจากเดิมที่เคยโกยไปถึง 34,221 คะแนน เพียงแต่ว่าคะแนนที่ลดลงของฝ่ายค้านก็ชนะอย่างเหนือความคาดหมาย
ผลการเลือกตั้งดังกล่าวเล่นเอาพรรคเพื่อไทยออกอาการเต้นพอสมควร เพราะนี่คือเลือกตั้งซ่อมครั้งแรกนับตั้งแต่มาเป็นรัฐบาลกว่า 8 เดือน
มองในด้านหนึ่งความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยอาจมาจากการใช้สิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีเพียง 30%
แต่นั่นคงไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก และถึงจะให้มีผู้มาใช้สิทธิน้อยเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ก็ไม่ควรแพ้ให้กับฝ่ายค้าน
งานนี้โทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง
เพราะสรรพกำลังของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ นับว่าเพียบพร้อมด้วยกระแสและกระสุนอำนาจรัฐ และอำนาจจากงบประมาณ
เรียกว่าอาวุธครบมือ ซึ่งไม่เพียงแต่รักษาพื้นที่เท่านั้น แต่ต้องชนะให้ขาดกระจุย เพื่อหวังผลในจิตวิทยาว่าคะแนนความนิยมของรัฐบาลยังติดลมบนอยู่ต่อเนื่อง
แต่เหนืออื่นใด ปทุมธานีเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. ยกจังหวัด คือ 6 คน แถมเคยมีรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึง 2 คน คือ ชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย และ สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล อดีต รมช.ศึกษาธิการ ที่เพิ่งถูกปรับ ครม. ออกครั้งล่าสุด
ประกอบกับในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ยังนำคณะผู้บริหารพรรค แกนนำเสื้อแดง ลงพื้นที่หาเสียงด้วยตัวเอง
ไม่เพียงเท่านี้ ปทุมธานีหนึ่งในพื้นที่สีแดงที่สำคัญของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ด้วย ซึ่งมีบทบาทในการก่อตั้งมวลชนกองหนุนสู้กับรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เมื่อปี 2553 โดยเฉพาะเหตุการณ์ยึดสถานีดาวเทียมไทยคมคืนจากทหาร
ขณะเดียวกัน “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เพิ่งเรียกเรตติ้งให้กับรัฐบาลจากคนเสื้อแดงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจากนายใหญ่ที่มีต่อมวลชนของตัวเอง ภายหลังรัฐบาลถูกกังขาว่าลอยแพเสื้อแดง
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่สุดไม่สามารถรักษาพื้นที่เดิมเอาไว้ ถึงจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ถ้ามองในเรื่องของศักดิ์ศรีในฐานะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ จึงไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
สาเหตุครั้งนี้แน่นอนว่าเกิดจากความชะล่าใจและความประมาทแบบมองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
เริ่มตั้งแต่ สุเมธ ฤทธาคนี ส.ส. เดิมลาออกไปลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งที่เพิ่งเป็น สส.เขต 5 ได้ไม่นาน และการเอา “สมชาย” อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสนั่นรักษ์ อ.ธัญบุรี ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแข็งในเขต 5 อ.ลำลูกกา มาลงก็เหมือนเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว
ผิดกับ “เกียรติศักดิ์” ได้ทำพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องและลงสมัครมาแล้วถึง 3 ครั้ง ย่อมกุมความได้เปรียบมากกว่า
เป็นอันว่าพรรคเพื่อไทยประเมินคู่แข่งต่ำไป คิดว่าปทุมธานีคือพื้นที่สีแดง ฐานมวลชนรัฐบาล ส่งเสาไฟฟ้าลงเลือกตั้งก็ชนะประชาธิปัตย์วันยังค่ำ ทำให้ย่ามใจ ไม่ดูแลหัวคะแนนอย่างทั่วถึง
ใช่ว่าเรื่องตัวบุคคลจะมีผลต่อความพ่ายแพ้เท่านั้น
ทว่า เมื่อมองในภาพใหญ่แล้วความไม่คืบหน้าในการบริหารงานของรัฐบาลก็มีผลอยู่พอสมควร
ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายของรัฐบาลกำลังมีปัญหา ไล่มาตั้งแต่ปัญหาน้ำท่วม โดย อ.ลำลูกกา เป็นพื้นที่หนึ่งที่เจอปัญหานี้ค่อนข้างสาหัส ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่เห็นหลักประกันถึงความปลอดภัยจากปัญหานี้ได้ สะท้อนได้จากทัศนะจาก “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธาน นปช.
   “เกิดจากที่ตัว ส.ส. เองลงพื้นที่ไม่ทั่วถึงในช่วงที่เกิดอุทกภัย และพรรคเพื่อไทยต้องนำประสบการณ์นี้มาปรับปรุง”
จากเรื่องน้ำท่วมซ้ำด้วยปัญหาเศรษฐกิจค่าครองชีพอยู่ในภาวะถีบตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสวนทางกับรายได้ของประชาชน รวมทั้งนโยบายที่ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชนก็มีปัญหา
อาทิ เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ต้องเลื่อนไปเป็นปี 2557 หรือค่าจ้าง 300 บาท ก็ทำได้เพียง 7 จังหวัดนำร่อง ส่วนที่เหลือกว่า 70 จังหวัด ต้องรอไปถึงปี 2556 จากเดิมเคยประกาศว่าทำได้ทันที
กระทั่งปัญหาการเมืองก็เข้ามาเป็นปัจจัยหนึ่งต่อความขายหน้าของพรรคเพื่อไทยด้วย กล่าวคือ ท่าทีแกนนำของ นปช.หลายกรรมหลายวาระต่อเรื่องการสร้างความปรองดองดูประหนึ่งว่าให้ลืมเหตุการณ์ความสูญเสียเพื่อแลกกับอนาคตของประเทศไทย
การเปลี่ยนจุดยืนจากการเอาคนผิดมาลงโทษเพื่อรับผิดชอบ 91 ศพ มาเป็นสร้างวาทกรรมคำว่า “ลืมเพื่อชาติ” ขึ้นมา ย่อมสร้างความไม่พอใจกับคนเสื้อแดงในฐานะผู้สูญเสียและบาดเจ็บไม่น้อย
ไม่ต่างอะไรกับการนิ่งดูดายคนเสื้อแดงหลังจากบรรดาแกนนำหลายคนได้ดิบได้ดีทั้งตำแหน่ง ส.ส. และรัฐมนตรี ยังไม่นับพวกที่ปรึกษารัฐมนตรีอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งหมดนี้คือความจริงที่พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญ และคงไม่สามารถใช้ชีวิตการเป็นรัฐบาลบนผลสำรวจความนิยมที่เป็นคุณต่อตัวเองได้เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ถ้ายังปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้กัดกร่อนพรรคเพื่อไทยไปเรื่อยๆ แผลเล็กๆ ในวันนี้อาจจะเป็นแผลใหญ่ในวันหน้าก็เป็นได้
สิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยฉุกคิด คือ การเร่งเครื่องตอบสนองประโยชน์ตัวเอง ไม่ว่าการจะออก พ.ร.บ.ปรองดอง หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่มุ่งแก้ปัญหาประชาชน ด้านปากท้อง พลังงานขึ้นราคา จะเป็นตัวทำลายความเชื่อมั่นประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลง