วาทกรรม การเมือง สะพานเชื่อม "ป๋าเปรม" อันมาจาก ยิ่งลักษณ์

มติชน 16 เมษายน 2555 >>>




อย่าคิดว่า คำยืนยันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ณ นครเวียงจันทน์ ที่ว่า
   "ผมไม่ใช่คู่กรณีกับท่าน"
ท่านอันหมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
จะเป็นอาการ "โพล่ง" เหมือนที่บางคนรู้สึก ตรงกันข้าม ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีระบบเป็นขั้นเป็นตอน
ที่สำคัญคือ มี "เป้าหมาย"
ประการ 1 คำตอบนี้มิได้เป็นการโพล่ง หากแต่ดำเนินไปตามคำถามที่ว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เสนอให้คุยกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพราะเป็นคู่กรณีกัน
   "ผมไม่ใช่คู่กรณีกับท่าน" เป็นคำตอบ
ประการ 1 ก่อนหน้าคำถามนี้เป็นบรรยากาศแห่งการถาม การตอบในเรื่องปรองดองอย่างเป็นด้านหลัก
เหมือนกับเป็นการปูพื้นฐาน เหมือนกับเป็นการอุ่นเครื่องอันนำไปสู่การเชื่อมโยงไปสู่กันระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
นี่ย่อมมิได้เป็นเรื่อง "บังเอิญ" หากดำเนินไปอย่าง "ตั้งใจ"
ความตั้งใจในที่นี้มิได้หมายถึงความตั้งใจโดยพื้นฐานอันมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตรงกันข้าม เป็นความตั้งใจอันเป็นเงาสะท้อนของสังคมไทย
"สื่อ" เสมอเป็นเพียงกระจก เสมอเป็นเพียงเครื่องมือ
เป็นคนละเรื่องเดียวกัน แต่แสดงให้เห็นถึงผลสะเทือนอันเกิดขึ้นจากบรรยากาศโดยรวมของสังคมไทยที่อยู่ในวิถีแห่งการปรองดอง
เรียกตามสำนวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือ "โหมดปรองดอง"
อย่าได้แปลกใจที่เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังวัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร ลำพูน
พระราชปัญญาโมลี รักษาการเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดจะกล่าวทัก
   "หน้านายกฯเหมือนน้องสาวป๋าเปรม หน้าแป้นๆ เลย มีลักษณะหน้าถอดแบบและคล้ายป๋าเปรมมาก"
อาจเป็นเพราะความจริงของความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นไปอย่างที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้อย่างรวบรัดยิ่งว่า
   "นายกฯยิ่งลักษณ์นั้นป๋าเปรมให้ความเมตตามาก"
เป็นความเมตตาแม้ไม่ได้ร่วมฟังคอนเสิร์ตด้วยกัน ณ ทำเนียบรัฐบาล ก็ตาม
อย่าได้แปลกใจไปเลย หาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา จะออกมากล่าว
   "ผมดีใจที่คุณทักษิณอวยพรและส่งสัญญาณปรองดองมาที่ป๋า"
เหตุผล "เพราะเป็นข้อความที่สื่อสารข้ามมายังคนไทย เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิมและรัฐบาลต้องรับลูกไปดำเนินการ"
นี่ย่อมเป็นการมองโลกในแง่ดี
เป็นการมองจากคนที่เคยแสดงความพยายามหาแนวทางเพื่อสร้างความปรองดองมาแล้วเป็นการมองจากคนที่ผ่านวิกฤตทางการเมืองต้องติดคุกติดตะรางแล้วได้รับการนิรโทษกรรมบนพื้นฐานแห่งการปรองดองมาแล้ว
จะมีก็แต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มองอย่างคลางแคลงใจ
   "ตัวเองกลับหันหลัง 360 องศา มีท่าทีที่ดีต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงเป็นเรื่องน่าสงสัยว่าท่าทีเช่นนี้มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองหรือไม่"
ความจริงท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แจ่มชัดอย่างยิ่ง
แจ่มชัด 1 คือ ความต้องการที่จะสื่อสารและแสดงความพร้อมปรองดองและไม่ได้ถือว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นคู่กรณี
แจ่มชัด 1 คือ การโดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ในทางการเมือง
คำว่า เล็ต อิท บี อันมาจากปาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรงจึงเป็นการสรุปอย่างแยกจำแนก
   "หากใครจะขวางปรองดอง ก็ เล็ต อิท บี หากใครจะขวางรัฐธรรมนูญ ก็ เล็ต อิท บี" น่าจะหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่มิได้หมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างแน่นอน
เพราะองคมนตรีย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกรณีความขัดแย้งในทางการเมือง