โดย ก่อแก้ว พิกุลทอง ....

สัปดาห์นี้วันที่ 10, 11 และอาจจะรวมถึงวันที่ 12 จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา คือประชุมร่วมกันทั้ง ส.ส. และ ส.ว. 650 ท่าน เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม วาระที่ 2 ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้ทำการพิจารณาแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาว่าเห็นชอบกับกรรมาธิการฯทุกประการหรือไม่ หรือจะแก้ไขมาตราใดตามที่สมาชิกรัฐสภาแปรญัตติ ถ้าเห็นชอบอย่างไรก็ลงมติไปตามนั้น แล้วเว้นไว้อย่างน้อย 15 วันก่อนที่จะนำเข้ารัฐสภาอีกครั้งเพื่อพิจารณาอนุมัติในวาระที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าพิจารณาในปลายเดือนนี้
ซึ่งถ้ารัฐสภาเห็นชอบในวาระที่ 3 ก็ถือว่าเสร็จสิ้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับปัจจุบัน เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้เปิดช่องให้ทำ หลังจากนั้นก็เพียงแค่รอขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธยแล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะเริ่มนับหนึ่งในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ประชาชนคาดหวังว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนและเพื่อประชาชน
รัฐสภาลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 ด้วยคะแนน 399 ต่อ 199 เสียง มีการตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 45 คน เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในรายละเอียด ซึ่งคณะกรรมาธิการเริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ช่วงแรกมีการกำหนดให้มีการประชุมวันพุธ และวันพฤหัสฯ เวลา 9.00-12.00 น. ก่อนที่จะเพิ่มเวลาและเพิ่มวัน เพื่อเร่งการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จตามกรอบที่กำหนดไว้ หลังจากขยายเวลาพิจารณามาเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ผมเป็น 1 ในคณะกรรมาธิการชุดนี้ จึงรับรู้ความพยายามของฝ่ายค้านที่ต้องการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยการพยายามเสนอประเด็นในการพิจารณาแต่ละมาตราให้หลากหลาย ใช้เวลาถกกันเยอะ ประชุมครั้งต่อมาก็พยายามยกเรื่องเดิมมาพูดวนเวียนซ้ำซาก ทั้งๆที่ในการประชุมครั้งก่อนหน้าก็พูดกันคนละ 2-3 รอบ และที่สำคัญคือการพยายามขอให้มีการกำหนดกรอบไว้ว่า ห้ามแก้รัฐธรรมนูญในหมวดว่าพระมหากษัตริย์, หมวดศาล, หมวดองค์กรอิสระ และห้ามนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ดร.ทักษัณ ชินวัตร
ต้องยอมรับว่ากรรมาธิการซีกพรรคฝ่ายค้าน 11 คน มีความชำนาญในเกมการประชุม ทั้งข้อบังคับและเทคนิคการพูด ลูกล่อลูกชน และทำงานรับลูกกันดี สร้างความหนักใจให้กับประธานกรรมาธิการ คุณสามารถ แก้วมีชัย ไม่น้อย ส่วนกรรมาธิการซีกเพื่อไทย 19 คน ก็ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูงในการรับมือ การประชุมที่วนเวียน ซ้ำซาก แถมบ่อยครั้งที่ถูกกระแทกกระทั้น และถูกเบรกการประชุมโดยการขอนับองค์ประชุม
ผมเองขอชื่นชม ประธานกรรมาธิการ สามารถ แก้วมีชัย ที่ใจเย็นมากๆ มีความอดทนอดกลั้นสูง ในการรับฟังและให้โอกาส กรรมาธิการฝ่ายค้านพูดกันอย่างเต็มที่ จนบางครั้ง กรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย ต้องขอร้องให้ประธานเร่งรัดการประชุม เพื่อให้การพิจารณาแต่ละมาตรามีความคืบหน้าเร็วขึ้น
หลังจากประชุมกันยาวนาน 13 นัด ปะทะคารมและเหตุผลกันทั้ง 2 ฝ่าย กรรมาธิการก็สามารถพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังเป็นไปตามร่างหลัก หรือร่างของคณะรัฐมนตรี มีการแก้ไขไปแค่ 4-5 มาตรา สรุปได้โดยย่อๆ ดังนี้
- มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 99 คน มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน มาจากการสรรหาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ด้านรัฐศาสตร์และด้านอื่นๆ รวม 22 คน
- ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น มาใช้โดยอนุโลม ในการเลือกตั้ง สสร. และให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่มีการคัดค้านหรือร้องเรียนการเลือกตั้ง (คือการให้ใบเหลือง, ใบแดง หรือเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง)
- ให้เลือกตั้ง สสร. ภายใน 75 วันนับจากวันประกาศพระราชกฤษฎีกา
- ให้ สสร. ประชุมภายใน 30 วัน นับจากวันเลือกตั้ง
- สสร. ต้องทำร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จใน 240 วัน นับจากการประชุมครั้งแรก โดยห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์
- ให้มีการทำประชามติภายใน 60 วัน
นับเป็นก้าวสำคัญของการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยที่มีผู้เสียสละเลือดเนื้อมากมาย ที่เรามีภารกิจอีก 2-3 เรื่อง ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่การขับเคลื่อนภารกิจใหญ่ๆ เหล่านี้ล้วนต้องใช้ระยะเวลา และจังหวะจะโคนที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ต้องประคับประคองรัฐบาล ให้คงอยู่ครบวาระเพื่อเป็นผู้ขับเคลื่อนการดำเนินการให้เรา
ผมจึงนำเรียนความคืบหน้าในเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของคนเสื้อแดง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่า “ ขึ้นบันไดทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง ค่อยๆเคลียร์ผู้ขัดขวาง เพื่อปูทางประชาธิปไตย ” ขอให้ใจเย็นๆและอดทนกันอีกหน่อยครับ
