มท. ระบุ 'ยิ่งลักษณ์' ย้ำจ่ายเงินเยียวยาไร้ 'นายหน้า' ขู่ฟันวินัย-อาญา หากพบ จี้ผู้ว่าใช้เงินแก้น้ำท่วมโปร่งใส พร้อมคุยหลังเซ็นเอ็มโอยูแก้ปัญหายาเสพติด ตัวเลขผู้เข้าบำบัดเพิ่ม
นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ 2547-ปัจจุบัน ว่า รัฐบาลกำหนดเยียวยาบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบไว้ 4 กลุ่ม
1. ประชาชนทั่วไป
2. เจ้าหน้าที่รัฐ (ที่ได้รับอันตรายจากการปฏิบัติหน้าที่)
3. บุคคลที่ถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ)
4. บุคคลที่ถูกควบคุม คุมขัง ถูกดำเนินคดีอาญา ภายหลังปรากฎหลักฐานชัดว่า มิได้เป็นผู้กระทำผิดหรือมีการถอนฟ้อง หรือยกฟ้อง
โดยกรอบวงเงินที่คาดว่าจะต้องใช้ในการเยียวยา
1. ประชาชนทั่วไป 500 ล้านบาท
2. กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ 200 ล้านบาท
3. กลุ่มถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่ 1,000 ล้านบาท
4. กลุ่มถูกดำเนินคดี 300 ล้านบาท
นายประชา กล่าวต่อว่า การพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาจะมีคณะอนุกรรมการ (อกก.) อยู่ 8 คณะคอยตรวจสอบ ได้แก่
1. อกก.กำหนดยุทธศาสตร์และประเมินผลเยียวยา
2. อกก.ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
3. อกก.ช่วยเหลือเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับปลกระทบ
4. อกก.ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
5. อกก.ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีถูกบังคับให้สูญหาย
6. อกก.ผู้ได้รับผลกระทบเหตุการณ์เฉพาะกรณี (ได้รับการกระทำอย่างรุนแรง เช่น ฆ่าตัดคอ)
7. อกก.ช่วยเหลือเยียวยากรณีถูกจับกุม ควบคุม หรือถูกดำเนินคดีโดยไม่มีความผิด
8. อกก.สื่อสารสร้างความเข้าใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยประชาชนที่ได้รับผลกระทบไปแจ้งเรื่องที่อำเภอแล้วจะส่งที่จังหวัด แล้วรวบรวมว่าเรื่องนี้จะเข้ากับคณะอนุกรรมการชุดไหน โดยจำนวนเงินที่ได้ขึ้นอยู่กับอนุกรรมการจะพิจารณาว่าผลกระทบที่ได้รับสมควรให้เงินเท่าไหร่
สำหรับกรณีที่มีนายหน้าในพื้นที่ไปแจ้งชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบว่าสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะให้ได้รับเงินเยียวยา แต่ต้องขอค่านายหน้า 20% นั้น นายประชา ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้มาชี้แจงว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เป็นความจริง โดยประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องให้ปากคำกับคณะอนุกรรมการทั้ง 8 คณะ ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวข้องกับคณะไหน เมื่อคณะอนุกรรมการตัดสินแล้ว เราจะโอนตรงเข้าบัญชี แล้วจะไม่มีนายหน้าได้รับผลประโยชน์เด็ดขาด แล้วขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอดูเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมมากที่สุด หากพบเจ้าหน้าที่เข้าไปพัวพันเอาผลประโยชน์ประชาชนต้องถูกลงโทษทั้งวินัยและอาญา ทั้งนี้ ถ้าพบเบาะแสหรือพฤติกรรมใดๆของเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมเป็นเก็บค่าหัวคิว สามารถแจ้งมาได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 1567
“มท.” จี้ผู้ว่าใช้เงินแก้น้ำท่วมโปร่งใส
นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการแก้ปัญหาอุทกภัย ของกระทรวงมหาดไทย ที่มีความสำคัญเร่งด่วน ในพื้นที่ต้นน้ำ 10 จังหวัด 28 โครงการ 1,817 ล้านบาท พื้นที่กลางน้ำ 14 จังหวัด 74 โครงการ 1,587 ล้านบาท พื้นที่ปลายน้ำ 7 จังหวัด 17 โครงการ 1,681 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 31 จังหวัด 119 โครงการ 5,085 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจัดสรรไปแล้ว 3,930 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทั้งหมดคาดว่าจะอนุมัติภายในสัปดาห์นี้ เท่าที่ตนได้ติดตามผลการดำเนินการ ประมาณ 80% ของทุกจังหวัดที่ได้ทำการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการพื้นที่ต้นน้ำกำหนดให้เสร็จเดือน มิ.ย. 55 กลางน้ำเสร็จเดือน ก.ค. 55 ปลายน้ำเสร็จเดือน ส.ค. 55
นายประชา กล่าวต่อว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้เงินอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด แล้วต้องโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ถ้าทางราชการตรวจพบว่ามีทุจริตไปเรียกเงินทอน 20-30% หรือะไรก็แล้วแต่ ทางผู้ว่าฯต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้ทางรัฐบาลมีความเป็นห่วงอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ถ้าพบเบาะแสหรือพฤติกรรมใดๆของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตต่อโครงการนี้ สามารถแจ้งมาได้ที่ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 1567
“ประชา" คุยหลังเซ็นเอ็มโอยูแก้ปัญหายาเสพติด ตัวเลขผู้เข้าบำบัดเพิ่ม
นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหายาเสพติดในส่วนของกระทรวงมหาดไทยว่า หลังจากได้เซ็นบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างกระทรวงกับจังหวัด จังหวัดและอำเภอ พบว่าตัวเลขของผู้สมัครใจเข้ารับการบำบัดนั้นเพิ่มขึ้นตอนนี้มีถึง 30% จากเมื่อก่อนมีเพียง 2% เพราะได้สั่งนายอำเภอไปบีบทางกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ว่าให้นำผู้ติดยาเสพติดที่มี นำมาบำบัดเสียแต่โดยดี ทั้งนี้ ปัญหายาเสพติดผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมรู้ดี อย่างเรื่องการค้นคุกเรือนจำที่นครศรีธรรมราชทางผู้ว่าฯก็ประสานกับกรมราชทัณฑ์ให้มาค้น ตรงนี้จะเป็นนครศรีธรรมราชโมเดลที่จะกวาดล้างอีกหลายจังหวัด
"สิ่งที่กังวลคือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมาส่วนเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นถ้าพบว่ามีการเข้าไปพัวพันก็จะต้องดำเนินคดีให้มากกว่าประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ ทางผู้ว่าฯมีอำนาจเข้าตรวจค้นเรือนจำที่อยู่ในจังหวัดโดยการสั่งผู้บัญชาการเรือนจำให้ตรวจค้น แต่ถ้าเรือนจำไหนผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย มันจะไม่ได้ผล ดังนั้น หากเรารู้ว่าเรือนจำไหนเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงก็ต้องใช้หน่วยงานกลาง เช่น แอบขอความร่วมมือจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ส่งคนส่วนกลางมาเลย" นายประชา กล่าว