นายกฯกับภารกิจทะลวง ทะลวงจุดตีบตันภาครัฐ ทะลวงไม่ให้น้ำท่วมขัง

มติชน 19 เมษายน 2555 >>>




งานลำดับแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลือกที่จะลงมือปฏิบัติภายหลังจากช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ผ่านไป
ก็คือการติดตามความคืบหน้าของโครงการป้องกันอุทกภัยที่เคยเป็นภารกิจหมายเลข 1 ของรัฐบาลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
เหมือนเป็นการส่งสัญญาณต่อสังคม และต่อสมาชิกของรัฐบาลด้วยกันเอง
ว่านายกรัฐมนตรียังตามจี้เรื่องนี้อยู่
ผลของการตรวจสอบติดตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ก็คือ การเร่งรัดงานทุกส่วนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนาต้นน้ำ สร้างฝายชะลอน้ำ และการปลูกป่าซึ่งต้องอาศัยหลายกระทรวงบูรณาการงานร่วมกันโดยให้สำนักงานบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) เป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงาน เพื่อดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการน้ำแบบรวมศูนย์ โดยจะดึงข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เป็นข้อมูลปัจจุบันแล้วนำมาใช้วิเคราะห์ในวอร์รูม มีทีมวิเคราะห์ข้อมูลจากทุกสำนักเพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบเป็นระยะ
ต่อคำถามว่าการระบายน้ำในเขื่อนปัจจุบันเป็นไปตามนโยบายหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การระบายน้ำในเขื่อนหลักๆ คงระดับที่ร้อยละ 60 เพราะต้องดูปริมาณน้ำที่ต้องใช้ในพื้นที่แล้ง
ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ให้แนวทางไว้ แต่ไม่ได้ปรับลดไปที่ร้อยละ 45
ส่วนประเด็นสำคัญว่าใช้งบประมาณ 350,000 ล้านบาท ไปอย่างไรบ้างแล้ว คำตอบคือส่วนใหญ่เป็นการใช้เรื่องเยียวยา ชดเชยไปเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังเร่งใช้ในส่วนกลุ่มที่สำนักงบประมาณอนุมัติงบประมาณไป 3.4 แสนล้านบาท
นายกรัฐมนตรีระบุด้วยว่า ตนและคณะกรรมการ กบอ.จะเดินทางเยือนประเทศจีนเพื่อศึกษาหลักการบริหารจัดการน้ำ เพื่อนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาปรับใช้ และขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของจีนทำงานร่วมกับไทย
สำหรับระบบการเตือนภัย มีการหารือว่าจะวางมาตรการเชื่อมโยงระบบเตือนภัยลงให้ถึงชุมชน และให้ทุกหน่วยงานรวมแผนเข้าสู่ส่วนกลาง พร้อมติดตามความคืบหน้า
ขณะนี้ทุกหน่วยงานได้วางโครงร่างแล้ว และวอร์รูมจะติดตามผลงานมาบูรณาการเป็นแผนแม่บทและเร่งสรุปการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตามจุดระบายน้ำต่างๆ ต่อไป
ก็สมควรอยู่ที่นายกรัฐมนตรีจะให้ความสนใจกับแผนป้องกันน้ำท่วมเป็นหลัก
เพราะในช่วงเวลาเดียวกันกับการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน ก็มีรายงานข่าวว่าความคืบหน้าในการจัดสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันน้ำท่วมรอบต่อไปของนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 6 แห่งในภาคกลางที่ประสบภัยโดยตรงจากน้ำท่วมครั้งที่ผ่านมาที่คืบหน้าที่สุดก็เพียงร้อยละ 20 ต้นๆ
เพราะติดปัญหากฎระเบียบว่าด้วยการเงินของภาครัฐ ที่ทำให้เงินช่วยเหลือและเงินให้กู้ที่ประกาศออกมาเป็นนโยบายแล้ว ไม่สามารถลงมือปฏิบัติในความเป็นจริงได้
ในขณะที่ประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่รับน้ำจำนวนไม่น้อยสะท้อนข้อมูลว่า จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับรู้ว่า พื้นที่ใดบ้างที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำหรือแก้มลิง และพื้นที่ใดบ้างถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ระบายน้ำหรือฟลัดเวย์
สะท้อนให้เห็นว่าการ "ชี้แจงให้ประชาชนทราบเป็นระยะ" ที่นายกรัฐมนตรีระบุไว้นั้นมีปัญหา
ประเด็นหลักของวันนี้จึงมิได้อยู่ที่นายกรัฐมนตรีจะจัดการกับนโยบายน้ำอย่างไร
แต่อยู่ที่นายกรัฐมนตรีจะจัดการกับ "กลไก" ในภาครัฐ ทั้งบุคลากรและกฎระเบียบให้เอื้อต่อนโยบายและการตอบสนองปัญหาของสังคมอย่างไร
จะต้องให้รางวัลหรือลงโทษให้เห็นเป็นตัวอย่างหรือไม่
จะต้องทะลวงและแก้ไขกฎหมายอันเป็นจุดติดขัดของกลไกรัฐส่วนไหนบ้าง
ถึงจะมีอะไรไป "ชี้แจงให้ประชาชนทราบเป็นระยะ" ได้
เพื่อให้ความมั่นใจว่าปีนี้-หรือปีต่อๆ ไป น้ำจะไม่ท่วมซ้ำรอยเก่าอีก