
ผลจากมติการประชุมคณะกรรมการสลากฯ หรือบอร์ดสลาก เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2555 เรื่องการเลิกจ้าง “สมชาติ วงศ์วัฒนศานต์” จากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สำนักงานสลากฯ) ให้มีผล 30 วันนับจากวันที่ส่งหนังสือไปแจ้งคือวันที่ 11 เม.ย. 2555 จนกลายเป็นประเด็นร้อนของกระทรวงการคลัง
เพราะล่าสุด สมชาติ เตรียมยื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลกรณีที่ถูกสั่งปลดจากตำแหน่งหลังจากที่ทำงานได้เพียง 4 เดือน โดยที่ผลการประเมินยังไม่ออกสักครั้ง
จนเป็นที่มาของข่าวลือหนาหูว่าการปลดสมชาติครั้งนี้เกิดจากเรื่อง การล้มโควตาสลากของทหารผ่านศึกจำนวน 2.6 ล้านฉบับ จากทั้งหมดมี 4 ล้านฉบับ !!!!
และนี่คือที่มาที่ไปของเหตุการณ์การล้มโควตาสลาก 4 ล้านฉบับ ลำดับจากการประชุมบอร์ดครั้งแรกเมื่อ 2 ต.ค. 2552 ยุคที่ วันชัย สุระกุล เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ ได้มีมติพิมพ์สลาก 4 หมื่นเล่ม หรือ 4 ล้านฉบับ จัดสรรให้ 8 องค์กร ได้แก่
1. องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 1.5 หมื่นเล่ม
2. สมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย 1.1 หมื่นเล่ม
3. มูลนิธิสำนักงานสลากฯ 10,784 เล่ม
4. มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน 2,000 เล่ม
5. มูลนิธิโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 478 เล่ม
6. สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย 190 เล่ม
7. มูลนิธิสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กพิการ 310 เล่ม
8. มูลนิธิพันเอกจินดา ณ สงขลา 283 เล่ม
โดยให้สิทธิรับสลากไปจำหน่าย 2 ปี เริ่มงวดวันที่ 1 พ.ย. 2552 ถึงงวดวันที่ 16 ต.ค. 2554
ต่อมาบอร์ดเมื่อใกล้ครบสัญญา 2 ปี ซึ่งในการประชุมเมื่อ 16 ส.ค. 2554 ให้ 8 องค์กรดังกล่าวได้รับสิทธิในการต่ออายุสัญญาออกไปอีก 2 ปี นับแต่งวด 1 พ.ย. 2554 แต่ยังไม่ได้ทันได้นำเรื่องของบอร์ดเห็นชอบ ก็เกิดเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้มีคณะกรรมการชุดเดิมลาออก 3 ท่าน ซึ่ง ครม. เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2554 มีมติแต่งตั้งกรรมการใหม่ 3 ท่าน ได้แก่
1. พล.ท.รุจวินท์ กิจวิทย์
2. พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์
3. วีรภัทร ศรีไชยา
หลังจากนั้นคณะกรรมการชุดใหม่เห็นควรให้สำนักงานสลากฯ ตรวจสอบสถานะ คุณสมบัติการเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากของ 8 องค์กร ซึ่งพบว่ามีการทำหนังสือร้องเรียนว่า องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย ปฏิบัติผิดเงื่อนไข กล่าวคือไม่ได้นำสลากไปจำหน่าย
วิธีการขายปลีกหรือมอบให้สมาชิกตนเองนำไปขายปลีก แต่ได้นำไปขายส่งให้แก่บริษัทเอกชน ส่งผลให้คณะกรรมการมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ประกอบด้วย พลโท รุจวินท์ กิจวิทย์ , พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ , นายวีรภัทธ ศรีไชยา และหัวหน้าสำนักกฎหมาย ซึ่งพบว่าองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทำให้คณะกรรมการสลากฯ สั่งชะลอการต่อสัญญาทั้ง 8 องค์กรไว้ก่อน และมีคำสั่งให้สืบสวนข้อเท็จจริงเพิ่ม
ปรากฏว่าผลการประชุมคณะกรรมการวันที่ 14 ธ.ค. 2554 มีมติเห็นชอบตามที่เสนอดังนี้คือ ต่อสัญญาให้กับองค์กรที่ปฏิบัติตามสัญญา รวม 11,762 เล่ม ได้แก่
1. มูลนิธิโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ 478 เล่ม
2. สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย 190 เล่ม
3. มูลนิธิสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพเด็กพิการ 310 เล่ม
4. มูลนิธิสำนักงานสลากฯ 10,784 เล่ม
ไม่ต่อสัญญาให้แก่องค์กรที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา รวม 28,238 เล่ม ได้แก่
1. องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 1.5 หมื่นเล่ม
2. สมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย 1.1 หมื่นเล่ม
3. มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน 2,000 เล่ม
4. มูลนิธิพันเอกจินดา ณ สงขลา 283 เล่ม
โดยให้สลากทั้งหมด 28,238 เล่ม ของรายที่ไม่ต่อสัญญาให้จัดสรรให้มูลนิธิสำนักงานสลากฯ รับไปจำหน่าย ทำให้มูลนิธิสำนักงานสลากฯ ได้รับการจัดสรร
สลากในครั้งนี้รวม 39,022 เล่ม ซึ่งผู้ที่ได้รับการจัดสรรสลากทั้งหมดได้รับสลากไปจำหน่าย 2 ปี (48 งวด) เริ่มงวดวันที่ 16 ม.ค. 2555 ถึงงวดวันที่ 30 ธ.ค. 2556 โดยได้รับส่วนลด 9%
แต่สุดท้ายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในเดือน ธ.ค. 2554 เมื่อ เบญจา หลุยเจริญ ได้รับหนังสือจากกระทรวงการคลังลงวันที่ 21 ธ.ค. 2554 ให้ยกเลิกการทำหน้าที่ประธานสลากฯ และกระทรวงการคลังได้แต่งตั้ง อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เข้าเป็นประธานสลากคนใหม่แทน โดยมีนัยว่าต้องการให้ อารีพงศ์เข้ามาสะสางและยึดโควตาสลากเก่าคืนจากกลุ่มทุนที่ได้รับโควตาสลากจากมูลนิธิสำนักงานสลากฯ ไป
ขณะที่สมาคมทหารผ่านศึกฯ ก็ออกมาร้องเรียนเพื่อขอโควตาสลากคืนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังจากนั้นก็มีการปรับ ครม. รวมถึงการปรับ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ออกจากตำแหน่ง รมว.คลัง และแต่งตั้ง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ควบตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.คลัง มีผลอย่างเป็นทางการเมื่อ 18 ม.ค. 2555
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากการไม่ต่อสัญญาให้กับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทยไปแล้ว ได้มีการร้องเรียนขอความเป็นธรรม และต่อมามีการเจรจาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2554 ซึ่ง ธีระชัย ยังเป็น รมว.คลัง ในขณะนั้น ได้สั่งการให้สำนักงานสลากฯ จัดสรรสลากการกุศลเพิ่มขึ้นอีก 4 หมื่นเล่มในงวดเดือน ก.พ. 2555 ซึ่งสำนักงานสลากฯ เห็นว่าควรจัดสรรสลากส่วนนี้ให้กับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ตามที่ได้ทำข้อตกลงไว้ 2.6 หมื่นเล่ม
จนเมื่อในการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2555 เห็นว่ากรณีที่สำนักงานสลากฯ เสนอยังไม่ถือเป็นรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวจึงขอให้สำนักงานสลากฯ ไปพิจารณาแล้วรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการรับทราบในการประชุมครั้งต่อไป ต่อมาเมื่อมีการประชุมเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2555 ได้พิจารณาผลดำเนินงานที่สำนักงานสลากฯ ยังมีความเห็นสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานกฎหมายที่เห็นว่า มติดังกล่าวมีผลสมบรูณ์แล้ว ถึงแม้ไม่มีการรับรองรายงานการประชุม เมื่อมีการลงนามไปแล้วจึงมีผลผูกพันให้สำนักงานสลากฯต้องปฎิบัติตาม แต่คณะกรรมการเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการก่อนมีมติไม่รับรองรายงานการประชุม ดังนั้นเมื่อกรรมการส่วนใหญ่ไม่รับรอง ได้มีการดำเนินการอย่างไร โดยเห็นว่าสิ่งที่รายงานยังไม่มีความชัดเจน จึงขอให้สำนักงานสลากฯ ไปพิจารณาแล้วนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2555 ได้พิจารณาแนวทางการเยียวยาทหารผ่านศึก จึงเห็นชอบให้พิมพ์สลากบำรุงการกุศลโรงพยาบาลศิริราชเพิ่มอีกงวดละ 2 หมื่นเล่ม โดยจัดสรรให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกมีกำหนด 1 ปี (24 งวด) ตั้งแต่งวดวันที่ 1 เม.ย. 2555 ถึงงวดวันที่ 16 มี.ค. 2556
แม้ดูผิวเผินเหมือนว่าเรื่องจะจบเพราะมีคณะกรรมการยอมให้มีการพิมพ์สลากเพิ่มอีก 2 หมื่นเล่ม เพื่อคืนโควตาให้ทหารผ่านศึกแล้ว
แต่ปัญหาก่อนหน้านี้ที่สร้างรอยร้าวให้สมชาติกับคณะกรรมการเกิดจากการที่คณะกรรมการต้องการให้สำนักงานสลากฯ เป็นผู้ไปขอโควตาสลากคืนจากกลุ่มคนที่ได้โควตาสลากเดิมไป
ขณะที่ “สมชาติ” แย้งว่ามติดังกล่าวมีผลสมบูรณ์แล้ว หากจะขอโควตาคืนจึงต้องทำโดยมติของคณะกรรมการ
จึงกลายเป็นชนวนสำคัญในการตัดสินใจปลด “สมชาติ” โดยคณะกรรมการมีการประชุมลับ สั่งให้ “สมชาติ” ออกนอกห้องประชุมก่อน เพื่อระดมความเห็นและขอเสียงสนับสนุนเรื่องการทำหนังสือเลิกจ้างสมชาติ ซึ่งกำลังจะมีผลอย่างเป็นทางการ 30 วัน หลังจากที่มีการส่งหนังสือบอกเลิกจ้างถึงมือสมชาติแล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย. นี้
แต่เมื่อสงครามไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ล่าสุด “สมชาติ” เตรียมยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรมในการถูกสั่งปลดจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่สมชาติยังไม่เคยถูกประเมินแม้แต่ครั้งเดียว
ดังนั้น เหตุผลที่มีการกล่าวอ้างว่า “สมชาติ” ขาดภาวะผู้นำ จึงควรต้องมีการอธิบายให้สาธารณชนได้รับทราบเข้าใจ เพื่อไม่ให้เป็นกรณีตัวอย่างของการ “ปลดผู้บริหาร”ในองค์กรรัฐวิสาหกิจ เพราะเจอพิษการเมืองเข้าแทรกแซง
แม้จะดิ้นรนต่อสู้อย่างไร ไม้ซีกก็ไม่อาจจะงัดไม้ซุง และก็ไม่แน่ว่าการฟ้องร้องร้องเรียนแล้ว “สมชาติ” จะมีคำอธิบายที่ดีได้ เรื่องการจัดสรรโควตาสลากใหม่และเกิดความวุ่นวายขึ้น
ไม่ว่าจะมีใบสั่งการเมืองมาหรือไม่ งานนี้ได้เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯคนใหม่แน่นอน
