คำให้การคดี สมยศ พฤกษาเกษมสุข



ทีมข่าว นปช.
19 เมษายน 2555


วานนี้ (18 เม.ย.) เวลา 9.00 น. ห้อง 908 ศาลอาญา (รัชดาภิเษก) มีการสืบพยานโจทก์คดีหมายเลขดำที่ อ.2920/2554 ซึ่ง สมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีต บก.นิตยสาร " Voice of Taksin" ตกเป็นจำเลย โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการสืบพยานประมาณ 40 คน และมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน อาทิ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, อ.สุดา รังกุพันธุ์ (อ.หวาน)
สมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกกล่าวหาว่า กระทำการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยการดำเนินการจัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และเผยแพร่ต่อประชาชน ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักรซึ่งนิตยสาร Voice of Thasin (เสียงทักษิณ)
ในคำฟ้องระบุว่า นิตยสารดังกล่าว 2 ฉบับคือ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ 2553 บทความคมความคิด เรื่อง "แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น" และปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก มีนาคม 2553 บทความ คมความคิด เรื่อง "6 ตุลาแห่ง พ.ศ. 2553" ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
การสืบพยานโจทก์มี 5 ปาก ซึ่งประกอบด้วยนายทหารยศ พ.อ. 3 รายที่ได้รับมอบอำนาจมาจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ปี 4 ซึ่งเคยฝึกงานที่ DSI เมื่อปี 2554 2 ราย (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล)
พยานสามปากแรกเป็นนายทหารยศ พ.อ. ให้การสอดคล้องกันว่า คณะกรรมการหน่วยความมั่นคง และหน่วยข่าวกรองได้ติดตามการเคลื่อนไหวการกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ มาตั้งแต่ปี 2548 และสังเกตว่าการเคลื่อนไหวมีมากขึ้นโดยเฉพาะภายหลังการรัฐประหารปี 2549 ซึ่งนิตยสาร Voice of Taksin ก็อยู่ในข่ายที่ถูกติดตาม
พยานทั้งสามให้การอีกว่า จากเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2553 ศอฉ. มีการประกาศ "ผังล้มเจ้า" ซึ่งมีชื่อของ อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และ สมยศ พฤกษาเกษมสุข รวมอยู่ด้วย โดยในครั้งนั้นสมยศได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ค่ายทหารเป็นเวลา 1 เดือนเศษในคดี พรก.ฉุกเฉิน ตามคำสั่งของ สุเทพ เทือกสุบรรณ (ผู้อำนวยการ ศอฉ. ในขณะนั้น) และสุเทพยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆในลักษณะคาดโทษสมยศและผู้ที่มีชื่อในผังล้มเจ้าคนอื่นๆด้วย
พยานทั้งสามอ้างว่า บุคคล สถานที่ (บทความแรก) น่าจะเชื่อมโยงไปถึง ร.9 และการกระทำ (บทความหลัง) น่าจะเกี่ยวพันกับพระเจ้าตากสิน ซึ่งเนื้อหาในบทความหลังยังเชื่อมโยงถึง ร.9 แม้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือเอกสารทางวิชาการ เป็นแต่เพียงความเชื่อของพยานเองจากการตีความความหมายในบทความก็ตาม
ทางด้านทีมทนายความของ คารม พลพรกลาง (พลทะกลาง) พยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า เนื้อหาในบทความดังกล่าวเป็นเพียงการใช้ชื่อตัวละคร และสถานที่จากละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งเท่านั้น (บทความแรก) ซึ่งบุคคล และสถานที่ดังกล่าวไม่มีจริง เป็นเพียงเรื่องสมมติขึ้นเท่านั้น และไม่มีหลักฐานอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่าบุคคล และสถานที่ดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึง ร.9
ส่วนการกระทำ (บทความหลัง) ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดที่บ่งบอกว่า เกี่ยวพันกับพระเจ้าตากสิน ดังนั้นเนื้อหาในบทความหลังจึงไม่เชื่อมโยงไปถึง ร.9
นอกจากนี้ยังชี้ให้ศาลเห็นอีกว่า ผังล้มเจ้าเป็นเพียงเรื่องโกหกที่ ศอฉ. แต่งขึ้น โดย ศอฉ. ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า นปช. เป็นพวกที่คิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์
พยานสองปากหลังเป็นนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ให้การว่า พวกเขาได้รับมอบหมายจาก DSI ให้อ่านบทความจากนิตรสาร Voice of Taksin และได้ตีความ บุคคล และสถานที่ (บทความแรก) และการกระทำ (บทความหลัง) เชื่อมโยงไปถึง ร.9
ทางด้านทีมทนายความของคารมชี้ให้ศาลเห็นว่า มารดาของพยานนักศึกษาคนแรกเป็นพวกจงรักภักดีต่อสถาบัน แม้ว่าพยานทั้งสองจะไม่เคยรู้จักสมยศมาก่อน และไม่เคยเข้าร่วมกับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ก็ตาม
พยานทั้งสองให้การอีกว่า รู้จักอาจารย์บางคนจากคณะนิติราษฎร เนื่องจากทั้งสองกำลังศึกษาอยู่ในคณะนิติศาสตร์ และแสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎรบางส่วน แต่ไม่เห็นด้วยกับการแยก ม.112 ออกจากหมวดความมั่นคงของราชอาณาจักร
ส่วนการกระทำ (บทความหลัง) ไม่ปรากฎหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดที่บ่งบอกว่า เกี่ยวพันกับพระเจ้าตากสิน เนื่องจากบันทึกประวัติศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์หลายคนยังเขียนไม่ตรงกัน ดังนั้นเนื่อหาในบทความหลังจึงไม่เชื่อมโยงไปถึง ร.9
หลังจากการพิจารณาคดีสิ้นสุดลง สมยศให้สัมภาษณ์ตัดพ้อว่า พท. ชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่กลับที่ไม่มี "ความกล้าหาญทางจริยธรรม" เนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวให้กับนักโทษการเมือง โดยเฉพาะคดี ม.112 จนทำให้ผู้ต้องคดี ม.112 หลายคนที่ไม่สามารถประกันตัวได้ต้องยอมรับสารภาพเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ
ส่วนคารมให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกผิดหวังที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวสมยศ แม้จะยื่นขอประกันมาแล้วถึง 7 ครั้ง แต่ก็ยังยืนยันที่จะยื่นใหม่เป็นครั้งที่ 8
นอกจากนี้ยังแสดงความเห็นต่อ รธน.50 มาตรา 40 (7) ซึ่งระบุว่า ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงร้องขอให้ทางรัฐบาลที่กำลังจะแก้ไข รธน. ให้เพิ่มการแก้ไข รธน. มาตรานี้ให้สามารถปฏิบัติได้จริง
คารมเชื่อมั่นว่า ในคดีของสมยศนั้นมีโอกาสที่จะชนะคดีสูง จึงแนะนำให้สมยศเลือกที่จะต่อสู้คดีแทนที่จะยอมรับสารภาพเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ