ชูศักดิ์ ศิรินิล: ยุทธวิธีนิรโทษ "ทักษิณ" ล้างคดี คตส. ถอนรากผลไม้พิษ

ประชาชาติธุรกิจ 22 เมษายน 2555 >>>




วาระทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อไทยถูกผูกติดกับวาระของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การขับเคลื่อนทุกองคาพยพทั้งในฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ จึงข้ามไม่พ้นคดีของ "พ.ต.ท.ทักษิณ"
โรดแมปเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ บันไดไปสู่ความปรองดอง และช่องทางการนิรโทษกรรม การล้มต้นทางคดี ถอนรากผลไม้พิษ จึงเป็นวาระยุทธศาสตร์ ที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลทั้ง 300 คนต้องทำความเข้าใจเรื่องยุทธวิธี
"ประชาชาติธุรกิจ" ไขรหัสแผนฝ่าดงหนามในสภาผู้แทนราษฎร และการแสวงหาแนวร่วมในท้องถนน เพื่อไปสู่เป้าหมายของ "พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะ"
ทุกช่องทางมี "ชูศักดิ์ ศิรินิล" ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคกฏหมาย อรรถาธิบายความ ที่อาจทำให้ทั้งฝ่ายหนุน-แนวต้านได้ "ตาสว่าง"

ยุทธศาสตร์การเดินเกมในสภาผู้แทนฯจะชิงความได้เปรียบต่อยอดจากการชนะโหวตการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร

การเดินเกมในสภาต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์ มันไม่ใช่ทำเป็นงานรูทีน เราต้องกำหนดว่าแผนนิติบัญญัติที่จะเข้าสภา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกฎหมาย ต้องวิเคราะห์ วางตารางว่าร่างกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างรัฐธรรมนูญที่จะเข้า ควรจะเข้าพิจารณาเมื่อใด มีปัญหาอะไร มีข้อวิพากษ์วิจารณ์อะไรบ้าง ฝ่ายกฎหมาย และวิป ต้องตั้งวงมาพิจารณาร่วมกัน ว่ามีจุดอ่อน ข้อโจมตี ข้อทักท้วงมีอะไร

เวลานำร่างกฎหมายเข้าไปในสภาจะตรงกับที่วิเคราะห์หรือไม่

ส่วนใหญ่มันก็ตรง แน่นอนเขา (ฝ่ายค้าน) ก็อาจทักท้วงว่าไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ต้องดู timing ที่ถูกต้องว่าควรเป็นเมื่อไหร่ เช่น ปัญหารัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาก็มีร่างประชาชน ร่างเพื่อไทย ร่างชาติไทยพัฒนา ท้ายที่สุดก็มีร่างคณะรัฐมนตรี แล้วเราก็ยึดเอาร่างคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก โดยถือว่าเป็นร่างที่สมบูรณ์ที่สุด
ขณะเดียวกันเรื่อง timing ต้องวิเคราะห์ไปถึงเรื่องงบประมาณ เช่น รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำภายใน 1 ปี ภายในเดือนสิงหาคมก็ต้องเสนอรัฐธรรมนูญให้เสร็จก่อน แต่ระหว่างที่เสนอต้องดูว่ามีเรื่องอะไรที่เข้าสภาอีก เช่น งบประมาณ ต้องพิจารณากันหลายวัน ดังนั้นยุทธศาสตร์ก็ต้องพิจารณางบประมาณก่อน ให้ภารกิจของรัฐบาลที่เกี่ยวกับงบประมาณได้ออกมา
ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างกระแสความชอบธรรม โดยสื่อ โดยการสัมภาษณ์ เช่น สร้างความคิดเห็นเรื่องปรองดอง เมื่องบประมาณผ่าน ก็จะมีรัฐธรรมนูญตามมา แล้วคั่นด้วยเรื่องปรองดอง เราจึงคิดว่าพูดเรื่องปรองดองกันไปเสียให้เสร็จก่อน แม้จะมีข้อทักท้วง แต่กระแสปรองดองมันเกิด เห็นว่าไม่ทำไม่ได้ แล้วจึงมาตบด้วยเรื่องรัฐธรรมนูญ สิ่งนี้คือ timing ในแง่พรรคฝ่ายค้านจะแม่นในเกมการเมือง แม่นในการยกข้อบังคับ แต่ของเราไม่ค่อยแม่น มีจุดด้อยอยู่ แต่ยุทธศาสตร์ตอนนี้จะออกมาในเชิงยอมได้ก็ยอมเขาไป

เพื่อไทยได้อะไรจากการยอม

อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้การเดินเกมตามประสงค์ของเรา การเสนอกฎหมายแม้จะช้าติดขัด แต่ท้ายที่สุดมันไปได้

ระหว่างเกมเพื่อไทยอาจเล่นบทยอมแต่บรรทัดสุดท้ายต้องชนะ

ถูกต้อง...อย่างเช่น การแปรญัตติแก้ไขชื่อรัฐธรรมนูญ มันไม่เคยมีการแปรญัตติกวน ๆ แบบนี้ เขาก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่การเดินเกมอย่างนี้ในท้ายที่สุดประชาชนเห็นความไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง คุณเล่นการเมืองกันมากมายขนาดนี้เลยหรือ ซึ่งคนทำก็จะเสียเอง

นี่เป็นครั้งแรกหรือไม่ที่ ส.ส. ของพรรคยอมให้ฝ่ายค้านให้มาแตะถึงคุณทักษิณ

ก็เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของเรา กฎหมายสำเร็จออกมาได้ บังคับได้ ยอมที่จะโดนด่า แต่ขณะเดียวกันต้องคิดในมุมกลับว่า ด่าแบบตลาด ๆ ผมเชื่อว่าประชาชนรับไม่ได้ แล้วเขาจะเสียเอง

เกมนี้เพื่อไทยถอย แล้วทำให้ฝ่ายค้านอ่อนไปเอง

ให้เขาทำลายตัวเขาเอง

ถ้าแก้รัฐธรรมนูญผ่านไปได้ สิ่งที่แข็งกว่ารัฐธรรมนูญก็ไม่ยากเหมือนกัน

เอ่อ... มันก็อาจไม่ยากอะไร แต่สำคัญ เรื่องใหญ่คือเรื่องปรองดอง เรื่องนิรโทษกรรม เรื่องคืนความชอบธรรม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมว่าใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ
แม้กระทั่งคดีของท่านอดีตนายกฯ เรื่องล้มคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) สถาบันพระปกเกล้าก็เสนอหลายทางเลือก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ยุทธศาสตร์ของพรรค และรัฐบาลต้องไม่ทำอะไรที่เหมือนกับเราใช้เสียงข้างมากลากไป ต้องให้นิ่มนวลที่สุด และให้สังคมรับได้
สมมติว่าเลือกให้ผลของคดี คตส.เป็นศูนย์เลยกับคดีไม่มีผล แต่ให้เริ่มใหม่ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ยุทธศาสตร์ตรงนี้ต้องคิดให้ดีว่าแบบไหนเป็นธรรมที่สุด แบบที่คนเขารับได้มากที่สุด ผมสดับตรับฟังเสียงมา ถ้าได้เริ่มต้นคดีใหม่ก็พอใจแล้ว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ ไม่ใช่ศูนย์ไปเลย เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่รีบร้อนผลีผลามไม่ได้

สถานการณ์ใดที่คิดว่าเหมาะแล้วเริ่มต้นเรื่องคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้

ผมคิดว่าหลังรัฐธรรมนูญสำเร็จ อาจจะต้นปีหน้า (2556) เพราะเมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ผลจากการแก้ไขก็จะมีบทบัญญัติที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จริงอยู่ว่าไม่มีใครไปเขียนถึงอดีตนายกฯทักษิณโดยตรง แต่หลายเรื่องมันก็ไม่เป็นธรรม

ตามแผนคือแก้รัฐธรรมนูญ-พ.ร.บ.ปรองดอง-แล้วนิรโทษกรรม จะเรียงกันเป็นสเต็ปแบบนี้

ผมคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญต้องแก้ให้ได้ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีความถูกต้องชอบธรรม ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จะตุลาการภิวัตน์ ให้อำนาจศาลจนล้นเหลือ ให้อำนาจองค์กรอิสระมากมายก่ายกอง
ถ้ารัฐธรรมนูญแก้สำเร็จ ขณะเดียวกันกระบวนการปรองดองก็เดินไป ค้นหาความจริงออกมาให้ได้ว่าใครผิดใครถูก ใครฆ่าประชาชน ท้ายที่สุดแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ จุดหนึ่งก็จะเห็นพ้องว่าอะไรควรจะต้องปรองดอง

เมื่อเปิดเกมปรองดองขึ้นมา ส่งผลให้คดีต่าง ๆ ที่ คตส. ทำมาต้องลบล้างเลยหรือไม่

ต้องสดับตรับฟังแนวทางที่ถูกต้องมันเป็นอย่างไร เอาล่ะ...ถ้าเห็นพ้องกันว่า คตส. มันไม่ถูกหลักนิติธรรม ดังนั้นต้องมีกระบวนการว่า เมื่อมันเป็นไปหลักนิติธรรม จะเริ่มต้นใหม่อย่างไร คุณจะล้มล้างมันอย่างไร ถ้าเป็นคณะนิติราษฎร์ เขาให้ล้มล้างทั้งหมด เหมือนข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าข้อที่ 3 แต่ก็ต้องชั่งใจ
ผมยังเชื่อว่ากฎหมายใด ๆ ที่ออกโดยเสียงข้างมาก ถ้าความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ความชอบธรรมมันไม่เกิด มีชุมนุมประท้วงคัดค้าน ท้ายที่สุดก็บานปลาย จึงต้องเลือกทางที่พอดีที่สุดต้องฟังความคิดเห็นรอบทิศทาง

ต้องมีร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แบบสับขาหลอกเหมือนร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่

มันขึ้นอยู่กับสาระว่าเสนอแบบไหน ประชาชนต้องจับประเด็นว่าจะนิรโทษแบบไหน รัฐบาลจะทำโดยเป็นร่างรัฐบาล หรือจะใช้ร่างของ ส.ส. พรรคนั้นพรรคนี้ แต่ผมว่ามันต้องตกผลึกเรื่องสาระและจุดสุดท้ายเสียก่อนว่าจะทำกันระดับไหน เพราะขณะนี้นักกฎหมายยอมรับแล้วว่า คตส. ไม่ถูกต้องชอบธรรม ก็ต้องคิดต่อไปว่าผลคดีที่ตัดสินไปแล้วทำอย่างไร ต้องออกกฎหมายมาล้มล้างผลที่เกิดขึ้นโดย คตส. แต่จะล้มล้างระดับไหน ต้องดูว่าเหตุผล support ในทางกฎหมายกับเหตุผล support ในทางข้อเท็จจริงว่ามันเป็นอย่างไร

ล้มต้นทาง คตส. เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรองดองนับ 1 ใหม่ทั้งหมด

ฝ่ายค้านกับฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ตีประเด็น แล้วเอามาเป็นประเด็น เช่น ล้มล้างโทษจำคุก ได้เงินคืน แต่ผลทางการกฎหมายยังมีผลอยู่ เพราะเป็นคำพิพากษาของศาลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ เพียงแต่คนที่สอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันนี้คือหลักผลไม้พิษ

ที่ผ่านมาการอธิบายว่าคุณทักษิณได้รับความเป็นธรรม คนในพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายอธิบายแล้วพลาดเป็นเป้าทุกครั้ง

มันอธิบายยากในเรื่องหลักนิติธรรม แม้นักกฎหมายเองก็ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็เยอะ ที่พูดว่าคดีคุณทักษิณทำไมถึงอธิบายยาก เพราะไปเอาผลสุดท้าย ไม่ดูผลกระบวนการพิจารณาทั้งระบบว่ามันถูกไหม
คตส. ถูกตั้งขึ้นมาก็ผิดหลักสากล ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมปกติ เช่น พนักงานสอบสวน อัยการ ศาล มีอยู่ มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ คมช. ดันตั้ง คตส. ทำหน้าที่ ป.ป.ช. ส่งเรื่องไปอัยการ อัยการไม่ฟ้อง คตส. ฟ้องเองได้ มันยิ่งกว่าตั้งศาล ซึ่งคดีคุณทักษิณอธิบายให้เห็นภาพได้อย่างนี้ว่าโดนเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมปกติ กรรมการ คตส. เห็นชัดเลย บางคนเดินอยู่กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันก็เห็นชัดว่าคดีคุณทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม

พรรคจะกำหนดยุทธศาสตร์ กำหนดคนอธิบายเรื่องกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ใหม่หรือไม่

มันมีการคุยในวงเหมือนกันว่า ประเด็นเหล่านี้ควรมีคนออกมาพูด แต่การพูดก็จะมีหลายระดับ แต่พูดตรงไปตรงมาว่าสมาชิกที่มีอยู่ในระดับที่พูดเรื่องนี้ได้เป็นรูปธรรมเห็นชัดมันไม่ค่อยมี คนที่พูดได้มีน้ำหนัก เช่น คุณจาตุรนต์ (ฉายแสง) คุณพงศ์เทพ (เทพกาญจนา) โดนตัดสิทธิ์หมด อย่างผมก็โดน ติดอยู่ใน 109 คน

การนิรโทษจะรวมไปถึง 37 กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนด้วยไหม

มันยังไม่ได้ไปถึงขนาดนั้น เดือนธันวาคม 2556 ก็ครบกำหนดแล้ว มันอาจแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จใกล้เคียงกัน
แต่ประเด็นหลักคือภาพรวมของประเทศ คดีที่เกิดขึ้นทำอย่างไร นปช. ที่โดนจำคุก ไปจนถึงคดีท่านทักษิณ จะเอาอย่างไร เรื่อง 37 คนพลังประชาชน เรื่องเล็ก (หัวเราะ)

คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มต้นใหม่ได้หรือไม่

ถ้าคิดว่ากระบวนการมันไม่ถูกต้อง ต้นน้ำมันไม่ถูก ก็เริ่มพิจารณาคดีใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันต้องออกเป็นกฎหมาย ซึ่งเราต้องมาชั่งน้ำหนักว่ามันมากน้อย หรือสมควรขนาดไหน สมควรว่าจะทำระดับไหน ยอมรับได้ขนาดไหน เริ่มต้นใหม่หมด หรือว่าบางส่วน หรือที่จบไปแล้วไม่ว่ากัน

จำเป็นต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม

นิรโทษกรรม รื้อฟื้นคดีใหม่ทำได้ แต่ทั้งหมดต้องออกเป็นกฎหมาย จะไปถามว่าควรจะเริ่มต้น 4.6 หมื่นล้านใหม่ไหม ก็ต้องชั่งน้ำหนัก เอาล่ะ...เหตุผลทางกฎหมายมันมีอยู่ แต่ความถูกต้องชอบธรรมมันไม่มี ถ้าจะตัดสินใจเรื่องนี้ต้องชั่งน้ำหนักว่าสังคม คนรับได้ขนาดไหน ซึ่งยังไม่มีข้อยุติเป็นเด็ดขาดว่าต้องทำถึงขนาดไหน ก็ได้แต่หารือในวงยุทธศาสตร์ ผมฟังดูจากการอภิปราย แม้กระทั่งฝ่ายค้าน นิรโทษกรรมคนชุมนุมที่ถูกคดีพอจะรับกันได้ แต่ถ้าถาม 4.6 ล้าน มันยังตอบไม่ได้

ถ้าดูขั้นตอนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทั้งหมด ทุกอย่างเปิดทางให้เพื่อไทยล้มคดีเก่าได้สะดวก อาศัยเพียงความชอบธรรม คือความเห็นของประชาชน

(สวนทันที) การยอมรับของประชาชนว่าควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันต้องอาศัยเวลาในการสื่อสารทำความเข้าใจ ในการชี้แจง

ถ้าแผนจะสะดุด เหตุที่สะดุดคืออะไร

เหตุที่จะทำให้สะดุดได้ ต้องขึ้นอยู่กับว่าทางเลือกที่คิดมันเป็นทางเลือกแบบไหน

แต่มีข่าวออกมาเป็นระยะว่าเพื่อไทยและรัฐบาลเลือกทางล้างผล คตส. ทั้งหมด

พรรคเพื่อไทยก็สดับตรับฟังถึงข้อโต้แย้ง หรือความคิดเห็นของส่วนต่าง ๆ อยู่

บางประเด็นก็ฟังเช็กกระแส บางเรื่องก็ยั่วให้แย้ง ฝ่ายเพื่อไทยจะได้หาทางแก้ใช่ไหม

หลักทางการเมืองมันก็มีอยู่เหมือนกัน ที่เสนอสูงสุดไปก่อนแล้วค่อย ๆ ผ่อนลง

ตามตารางมิถุนายน 2556 จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะมาเมื่อไหร่ จะต่อเนื่องกันเลยไหม

ขณะนี้เดินเรื่องแผนปรองดอง เมื่อรัฐธรรมนูญออกมา รูปโฉมเป็นอย่างไร หลังจากนั้นมาอาจเสนอกฎหมายได้ในบางระดับ ข้อสำคัญต้องดูรูปโฉมรัฐธรรมนูญด้วย

ถ้าปีนี้เป็นปีแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการนิรโทษกรรม

(หัวเราะ) คือผมเห็นว่าเรื่องใหญ่ที่สุดคือแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ก่อน ในท้ายสุดตัวรัฐธรรมนูญจะบ่งบอกอะไรแน่นอน รัฐธรรมนูญไม่สามารถไปเขียนให้นิรโทษใครได้ รัฐธรรมนูญไทยเห็นอยู่อย่างเดียวคือนิรโทษคณะปฏิวัติแค่นั้นเอง

เรื่องถวายฎีกาให้คุณทักษิณ เพื่อไทยคาดหวังอะไรกับเรื่องนี้

เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่รัฐบาลต้องดูว่ามันระดับไหน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวข้องกับสถาบัน

ตอนนี้เป็นรัฐบาลแล้วทำไมไม่เรียกร้อง

(สวนทันที) เป็นรัฐบาลยิ่งยากที่จะไปตามเรื่อง โดยเฉพาะตัวคุณยิ่งลักษณ์ กับนายกฯทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ก็ต้องระวังตัว เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาโดนทันทีเลย ว่าช่วยพี่ แม้เมื่อเป็นรัฐบาลจะมาตามเรื่องนี้มันยากกว่าตอนเป็นฝ่ายค้าน มันต้องระมัดระวังดูให้ดี ต้องรอบคอบที่สุด