
กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในแวดวงการเมืองไทย กับฉาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ 3 รองนายกฯ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้าถ้ำบ้านสี่เสาเทเวศร์ รดน้ำขอพร ′ป๋าเปรม′ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
จากก่อนหน้านี้ที่เป็นคิวของ พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำผู้บัญชา การ 4 เหล่าทัพ บก เรือ อากาศ ตำรวจ เข้ารดน้ำขอพร ′ป๋าเปรม′ ไปแล้วรอบหนึ่ง
ตอนนั้นก็เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บ้างแล้ว เนื่องจากพล.อ.สุกำพลคือเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 คนหนึ่งที่มีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เจ้าของคำ ′ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ′
ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. คือพี่ชาย คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ
ข่าวใส่รายละเอียดลงไปด้วยว่า ถือเป็นการเข้าบ้านสี่เสาฯ ครั้งแรกของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ หลังรับตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงมีท่าทางตื่นเต้น เคอะเขิน รับฟังโอวาทจาก พล.อ.เปรม อย่างตั้งใจ พร้อมยกมือไหว้และทำความเคารพอย่างนอบน้อม
ก่อนหน้านั้นยังมีฉาก พ.ต.ท.ทักษิณ บินมาฉลองสงกรานต์กับคนเสื้อแดงที่ลาวและกัมพูชา และกล่าวถึง พล.อ.เปรม ว่า ′ผมไม่ใช่คู่กรณีของท่าน′
พ.ต.ท.ทักษิณ รื้อฟื้นความหลังว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้ใหญ่ที่ตนเองเคารพรัก เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทยเคยไปกราบเคารพเป็นประจำ
ทั้งยังยกให้ พล.อ.เปรม เป็นผู้สูงอายุตัวอย่างในการดูแลรักษาสุขภาพกายและจิตใจอย่างดีเยี่ยม
สิ่งเหล่านี้ถูกตีความน่าจะเป็นการส่งสัญญาณจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า พร้อมแล้วที่จะยื่นมือปรอง ดองกับฝ่าย ′อำมาตย์′
สัญญาณดังกล่าวเข้มข้นมากขึ้นเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำทีม 3 รองนายกฯ เข้ารดน้ำขอพรป๋าเปรม
ได้รับโอกาสปิดห้องคุยสองต่อสองกับเจ้าของบ้านสี่เสาฯ นาน 30 นาที ก่อนกลับออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทั้งผู้เหย้าและผู้มาเยือน
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เผยว่า ป๋าเปรมได้อวยพรนายกฯ ให้มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมกับฝากฝังดูแลประชาชนให้ดี
นายยงยุทธยืนยันด้วยว่า การเข้ารดน้ำขอพรป๋าเปรมเป็นเพียงมิติทางวัฒนธรรม ไม่มีมิติทางการเมืองเข้ามาสอดแทรก ไม่เกี่ยวกับการ ′ปรองดอง′ ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอย่างขะมักเขม้น
สาเหตุที่ทำให้นายยงยุทธต้องย้ำเช่นนี้ก็เพราะระยะหลังมีกระแสข่าวออกมาเป็นระลอกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มไม่พอใจ ′รัฐบาลยิ่งลักษณ์′ ที่แสดงท่าทีพินอบพิเทากับฝ่ายอำมาตย์ หรือผู้เคยสนับสนุน ′รัฐบาลอภิสิทธิ์′ ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ปราบปรามคนเสื้อแดงเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน
ความไม่พอใจของคนเสื้อแดงที่มีต่อรัฐบาลถูกนำไปเชื่อมโยงว่าเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งทำให้พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 ปทุมธานี ให้กับพรรคประชาธิปัตย์
แม้แกนนำคนเสื้อแดงที่เป็น ส.ส.เพื่อไทย และเข้าไปมีตำแหน่งในรัฐบาล พยายามออกหน้าไกล่เกลี่ยไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบาน ปลายไปกว่านี้ แต่เนื่องจากโครงสร้างคนเสื้อแดงแบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายกลุ่ม ถึงจะแดงเหมือนกันแต่ก็ต่างเฉด แดงบางเฉดมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ยอมขึ้นตรงกับแดง นปช. หรือรับคำบัญชาจากรัฐบาล
ดังนั้น ในขณะที่เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งต้องการปรองดองเพื่อพา ′นายใหญ่′ กลับบ้านเกิดเมืองนอน ขณะเดียวกันเสื้อแดงอีกหลายกลุ่มย่อยกลับเห็นต่างออกไป
เสื้อแดงกลุ่มหลังมองว่าการจะปรองดองกันได้ รัฐบาลจำเป็นต้อง ′คืนความยุติธรรม′ ให้กับผู้สูญเสียจากเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค. 53 เสียก่อน
ไม่ว่าการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผล กระทบการเดินหน้าคดี 91 ศพให้ไปในถึงจุดที่สามารถนำตัวผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการเข่นฆ่าประชาชนมาลงโทษทางอาญา
รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการประกันตัวคนเสื้อแดง ซึ่งยังถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำมานานเกือบ 2 ปี ให้ได้ออกมาต่อสู้คดีอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครรับประกันว่าการ ′พลิกล็อก′ ในสนามเลือกตั้งเขต 5 ปทุมธานี จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยพื้นที่อื่นๆ ทั้งในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. หรือการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
แน่นอนว่า 9 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เกมการเมืองในสภาได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่า 300 เสียงของเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลมีความแข็งแกร่ง ยากที่ฝ่ายค้านจะเจาะทะลวงได้
ความแข็งแกร่งของรัฐบาลเห็นได้จากการใช้เสียงข้างมากรับรองแนวทางสร้างความปรองดองของกรรมาธิการชุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และสถาบันพระปกเกล้า
หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังคับเคี่ยวกันอยู่ในรัฐสภาเวลานี้รัฐบาลก็ยังเป็นฝ่ายถือครองความได้เปรียบ จนทำให้อีกฝ่ายต้องหันมาใช้วิธี ′เล่นนอกเกม′
ลงทุนแฉคลิป ส.ส. กดบัตรโหวตแทนกัน แต่หวังผลกำไรใหญ่โตถึงขั้นยื่นศาลรัฐธรรมนูญสั่ง ′ล้มกระดาน′ ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ
ในสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่งเสียทีเดียว การเดินหน้าแผน ′ปรองดอง′ ของรัฐบาลที่ใช้ฝ่าย ′อำมาตย์′ เป็นจุดเริ่มต้นตามสัญญาณยิงยาวมาจาก ′คนแดนไกล′
แทนที่จะเริ่มต้นจากการ ′คืนความยุติธรรม′ ให้กับประชาชนผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความปริแตกขึ้นภายในระหว่างรัฐบาลเพื่อไทยกับมวลชนคนเสื้อแดงที่สังคมกำลังจับตาว่าฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้มากน้อยเพียงใด
อย่างที่รู้กันว่ารัฐบาลกับคนเสื้อแดงคือการสอดประสานการเมืองแบบ 2 ขา รัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศ คนเสื้อแดงทำหน้าที่เป็นกองหนุน
สองขาพันกันเมื่อไหร่ แค่สะดุดยอดหญ้าก็อาจล้มทั้งยืน
