อาจารย์นิด้านำตั้ง “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” อัด “นิติราษฎร์” เป็นนักปฏิวัติวัฒนธรรม

แนวหน้า 13 มกราคม 2555 >>> 


เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (13 ม.ค.) ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กลุ่มคณาจารย์ 23 คน ได้ร่วมกันแถลงข่าวการก่อตั้ง “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” โดยมีสมาชิกที่มาจากอาจารย์และนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น นิด้า มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยารังสิต ฯลฯ นำโดย รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ , รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และนายศาสตรา โตอ่อน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ทั้งนี้ รศ.ทวีศักดิ์ ได้อ่านแถลงการณ์ประกาศอุดมการณ์ของกลุ่ม ระบุว่า สังคมไทยในปัจจุบันที่อยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์ที่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด ทำให้เกิดกลุ่มการเมืองเข้ามาผูกขาดอำนาจ ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนทำให้เกิดวิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ต้องการ โดยทางกลุ่มมีอุดมการณ์ที่สำคัญ คือ เพื่อการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการสู่สังคม โดยยึดมั่นการคุ้มครองประชาชนตามหลักนิติรัฐ การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน ภายใต้หลักภราดรภาพและความมั่นคงของสังคม รวมทั้งส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่เปิดช่องให้เกิดการผูกขาดอำนาจในสังคมไทย
   “ทางกลุ่มได้แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันไว้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย จะสนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทย เพื่อขจัดเรื่องเลวร้ายของระบอบประชาธิปไตย เช่น อิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน วิกฤติเสรีภาพที่นำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย และวิกฤติในด้านศีลธรรมและจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย เป็นต้น” รศ.ทวีศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงจุดยืนในประเด็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งนายคมสัน กล่าวว่า มาตรา 112 ในประมวลกฎหมายอาญา ถือเป็นบทบัญญัติสำคัญในการคุ้มครองสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ปลอดจากการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายจากคนอื่นๆ ซึ่งแม้แต่บุคคลธรรมดาก็ยังบทบัญญัติที่ห้ามไม่ให้มีการหมิ่นประมาท เป็นบทบัญญัติที่มีความเหมาะสมในเชิงหลักการมาตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2500 โดยประมวลกฎหมายอาญา นอกจากจะคุ้มครองประมุขของชาติแล้ว ก็คุ้มครองไปถึงพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี รัชทายาท หรือประมุขของรัฐอื่นๆอีกด้วย
   “ทางกลุ่มตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าก่อนการเกิดรัฐประหารในปี 2549 การกระทำผิดในมาตรา112 มีไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นกลับมีกลุ่มบุคคลที่พยายามใช้มาตราดังกล่าวในการดำเนินทางการเมืองที่ผิดกฎหมายที่จะนำไปสู่การตั้งรัฐไทยใหม่ ดังนั้นข้อเสนอของทางกลุ่มนิติราษฎร์นั้นถือเป็นการลดพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน จึงขอให้ประชาชนและผู้อำนาจในทางการเมือง ต้องปกป้องดูแลสถาบันให้อยู่คู่กับสังคมการเมืองของไทยต่อไป” นายคมสัน กล่าว
ด้านนายศาสตรา กล่าวว่า การที่มีการพยายามแก้ไขมาตรา 112 ถ้าเริ่มต้นผิดก็จะผิดทั้งหมด เหมือนกับการติดกระดุมเสื้อ ซึ่งถ้าใครคิดที่แก้ไข ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกอ่อนไหวของประชาชนด้วย เพราะในต่างประเทศ ยังระบุถึงความผิดต่อสภาพจิตใจของประชาชน ซึ่งวัฒนธรรมการเมืองของไทยก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ตนจึงอยากจะย้อนถามกลุ่มนิติราษฎร์ว่า ตกลงแล้ว สมาชิกของกลุ่มเป็นนักฎหมายหรือนักปฏิวัติวัฒนธรรมกันแน่
เมื่อถามถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หลายๆฝ่ายพยายามยกแบบแผนหรือข้อเสนอมาสู่สาธารณชนนั้น รศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า ประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ทางกลุ่มมีความเห็นว่าไม่ได้มีข้อโต้แย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น บรรยากาศในทางการเมืองควรที่จะอยู่ในสภาวะปกติ เพราะในปัจจุบัน สังคมไทยยังมีความแตกแยกทางความคิดสูงมาก ทำให้ฝ่ายไหนที่มีอำนาจ ก็เข้ามาแก้ไขเพื่อเอาชนะทางการเมือง ทำให้ความขัดแย้งก็ยังไม่จบ
   “ผมเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับประชาชน แต่ไปสร้างปัญหาให้นักการเมืองมากกว่า ซึ่งคาดว่าฝ่ายรัฐบาลจะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ผูกขาดอำนาจมากขึ้นและจะไปแทรกแซงครอบงำการปฏิบัติงานของข้าราชการและกระบวนการยุติธรรม” รศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
เมื่อถามว่าการรวมตัวของกลุ่มในช่วงเวลานี้เป็นการออกมาขัดขวางหรือมาช่วยในการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นๆหรือไม่ รศ.ดร.บรรเจิด กล่าวยืนยันว่า คณาจารย์ของทางกลุ่มได้เฝ้ามองสถาการณ์ทางการเมืองของประเทศด้วยความอึดอัดมาโดยตลอด จึงจำเป็นต้องมีการรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ หลังจากนี้ทางกลุ่มมีกิจกรรมที่จะเสนอความคิดเห็นและขับเคลื่อนในทางวิชาการ โดยจัดเสวนาไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยจะจัดครั้งแรกที่นิด้า ซึ่งทางกลุ่มจะเสนอแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการเกาปัญหาให้ถูกที่คัน ของสังคมการเมืองไทย โดยทางกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ขอยืนยันว่าการออกมาในช่วงจังหวะเวลานี้ถือเป็นความบังเอิญในเรื่องเวลาและสถานการณ์เท่านั้น

...................................


สำหรับกลุ่มอาจารย์ 5 สถาบันที่รวมตัวเป็นกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ในเบื้องต้นประกอบด้วย


สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน
รศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
อ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์
รศ.นเรศร์ เกษะประกร
อ.ดร.ปุ่น วิชชุไตรภพ

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ
ผศ.ทวี สุรฤทธิ์กุล
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คงสม
อ.คมสัน โพธิ์คง

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ดร.วิจิตรา ฟุ้งลัดดา วิเชียรชม
ผศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์
ผศ.ดร.สุรศักดิ์ มณีศร

มหาวิทยาลัยรังสิต

อ.นิดาวรรณ เพราะสุนทร
อ.ศาสตรา โตอ่อน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา
ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล

นักวิชาการอิสระ

อ.ศักดิ์ณรงค์ มงคล

เชิงอรรถโดยทีมงาน นปช.-หากลองดูประวัติของอาจารย์ในกลุ่มสยามสามัคคีัแล้วจะพบว่าหลายคนมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการของกลุ่มรัฐประหารหรือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เช่น

ดร. บรรเจิด สิงคะเนติ เป็นกรรมการหนึ่งใน 12 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคำสั่งของ คมช. สามารถดูได้ที่นี่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%94_%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4

รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน เคยมีส่วนร่วมในขบวนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วง พ.ศ.2549 ตามข่าวนี่
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000065350

อ.คมสัน โพธิ์คง เคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่เกิดจาก คมช. สามารดูได้ที่นี่
http://www.ryt9.com/s/refb/108320

อ.ศาสตรา โตอ่อน เคยเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สามารถดูได้ที่นี่
http://www.youtube.com/watch?v=KFw-wqaMc0s

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มคนเหล่านี้จะออกทำการเคลื่อนไหวในลักษณะต่อต้านการพัฒนาประชาธิปไตย ซึ่งทีมงาน นปช. คิดว่า ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าสิ่งที่พวกเขานำเสนอนั้นเหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่