โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ ....
ทบทวนอดีต 2552 - 53 อย่างย่อๆ
ผ่าน การชุนนุมต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตยตั้งแต่ปี 2552 ถูกปราบปรามในเดือนเมษาปี 2552 มีแกนนำบางท่านก็ไม่ยินดีจะมอบตัว หลบหนีอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมอบตัว ถูกคุมและขังอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็ได้รับการประกันตัว ออกมาต่อสู้คดี มวลชนที่อาจเสียหายคือส่วนหนึ่งที่ดินแดงที่ยังไม่ปรากฏการตาย แต่หลายคนเชื่อว่าอาจมีอยู่จำนวนหนึ่ง
แกนนำส่วนมากยังมีคดีค้างคาอยู่ จากนั้น ผ่านการประชุมปรึกษาหารือได้นโยบาย ยุทธศาสตร์ใหญ่ และจัดตั้งโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.เพื่อเพาะแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้ขบวนการคนเสื้อแดงฟื้นตัวแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว มีการแยกกลุ่ม เป็นแดงสยาม และความพยายามตั้งกลุ่มอิสระอื่นๆขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเสียหายแต่อย่างใด
จากนั้นการชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภาในปี พ.ศ.2553 นำมาสู่การชุมนุมใหญ่ที่สุด ยึดเยื้อที่สุด และมีการปราบปรามการชุมนุมที่รุนแรงที่สุด ด้วยกระสุนปืนมากที่สุด และมีการบาดเจ็บล้มตายมากที่สุด ถูกจับกุมคุมขังนับพันคน ด้วยข้อหาร้ายแรงที่สุด (เท่าที่เคยมีมาของฝ่ายประชาธิปไตยไทย)
แกนนำมอบตัวและถูกจับกุมคุมขังนานถึง 9 เดือน ส่วนมวลขนถูกคุมขังจาก 19 พฤษภาคม ถึงบัดนี้เป็นเวลาปีกว่าแล้ว
ภาวะเหล่านี้ หลายคน เชื่อว่า คนเสื้อแดงต้องสลายตัว บ้างก็ช่วยกันซ้ำเติมข้ออ่อนด้อย
ความ จริงการชี้ข้อผิดพลาดต้องถือว่าเป็นเรื่องดี เพื่อนำมาปรับปรุงขบวนฯ แต่บ้างก็ใช้การประนามหยามเหยียด เพื่อบดขยี้องค์กรนำ นปช. เดิม และต้องการสถาปนาการนำใหม่ หากมีหลักทฤษฎีที่ถูกต้อง มีการเคลื่อนไหวถูกต้อง ก็จะมีมวลชนสนับสนุนแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำส่วนใหญ่จะอยู่ในเรือนจำ หรือหลบหนีอยู่ต่างประเทศ
เพื่อรักษาภาวะองค์กรและขับเคลื่อนมวลชน จึงต้องมีคณะรักษาการ อันมี จำนวนคนไม่กี่คนที่มาจากแกนนำเดิมที่ไม่ถูกจับไม่หลบหนี
ผู้ เขียนเองซึ่งไม่เคยปรากฏตัวบนเวทีในฐานะผู้ปราศรัยเลย แต่ทำหน้าที่ด้านหลักการ และงานโรงเรียน จำต้องรับภาระหน้าที่ด้วยความจำเป็น และมีคุณจตุพร พรหมพันธ์ ร่วมด้วยช่วยกัน ดำเนินงานขับเคลื่อน นปช.ในสถานการณ์วิกฤต
การชุนนุ มใหญ่ครั้งแรกเมื่อ 10 ธันวาคม 2553 นี่เป็นครั้งแรกหลังสถานการณ์ปราบปรามประชาชน ที่แกนนำก็ไม่แน่ใจว่า จะมีจำนวนคนมาร่วมมากน้อยเท่าใด แต่ในฐานะที่ผู้เขียนพอจะใกล้ชิดมวลชนในกรุงเทพฯปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง ก็ฟันธง ประเมินว่า ต้องได้นับหมื่น อาจถึงระดับ 3 หมื่นคน และการณ์ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้คนจำนวนหนึ่งตกตะลึง ทั้งฝ่ายอำมาตย์และฝ่ายพวกเรากันเอง
คนกันเองก็กลัวคนกันเอง บางคนในบ้านเลขที่ 111 ก็ตกใจ ขอไม่ให้ชุมนุมที่ราชดำเนิน ผู้เขียนก็ถามว่า แล้วจะให้ทำอย่างไร “จะให้ไปชุมนุมรำลึกการตายของวีรชนที่ไหนช่วยบอกที” หรือจะห้ามการชุมนุมเพื่อรำลึกวีรชน ก็ไม่มีคำตอบ
แต่การฟื้นตัว การปรากฏตัวของคนเสื้อแดงอย่างฉับพลันที่ได้จำนวนมาก ภายใต้การเชิญชวนของนปช.แดงทั้งแผ่นดิน พิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นของมวลชนภายใต้การนำของ นปช. ซึ่งแม้ยังมีข้ออ่อนด้อยอยู่ไม่น้อยก็ตาม พวกเขายังยืนหยัด พร้อมต่อสู้เคียงข้าง ไม่กลัวอิทธิพลคุกคาม ไม่กลัวกระสุนปืน หรือคุกตะรางใดๆ
ลักษณะพิเศษของคนเสื้อแดง ที่ลุกขึ้นได้อย่างฉับพลัน เปลี่ยนสภาพจากถูกกระทำถดถอย ด้วยกำลังทหารของรัฐไทย และ ระบอบอำมาตย์ จากถดถอยมาตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว การที่เราไม่หยุดยั้งในการทำงานมวลชน การทวงความยุติธรรม การพยายามประกันตัว และเยียวยา จากภาระหน้าที่ห้าข้อ ของแกนนำรักษาการ พร้อมทั้งเน้นย้ำหนทางสันติวิธี
การณ์ก็ค่อยๆพัฒนาทำ ให้ขบวนคนเสื้อแดง เปลี่ยนจากถอยมาเป็นตั้งรับ จนเปลี่ยนมาเป็นขั้นยัน แล้วเปลี่ยนมาเป็นการเปิดเกมรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างแกนนำใหม่และการจัดตั้งคณะกรรมการในระดับต่างๆ มีผลส่วนสำคัญในชัยชนะจากการเลือกตั้งที่ค่อนข้างถล่มทลายผิดความคาดหมายของ ระบอบอำมาตย์ฯ นี่เป็นชัยชนะของคนเสื้อแดงในท่วงท่าของการรุกทางการเมือง
ดังนั้นในสถานการณ์ใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
คนเสื้อแดงในสถานการณ์ใหม่จะจัดการกับขบวนอย่างไร
ประการ แรก เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่เคยเป็นการโค่นล้มรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย ประสบความสำเร็จไปแล้ว จึงต้องเปลี่ยนแปลง หรือเอาเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ระยะปานกลาง ที่ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 และผลิตผลของคณะมนตรีความมั่นคง(คมช.)เปลี่ยนมาเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์เฉพาะ หน้าแทน
นโยบาย 6 ข้อ ก็อาจต้องทบทวนในสถานการณ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในเรื่องกระบวนการร่างและเนื้อหาที่สำคัญที่ต้องแก้
สำหรับยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีนั้น ดังที่เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลนี้เป็นมิตรของเรา ที่เราสนับสนุนให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามา เช่นนี้ เราต้องใช้ท่าทีที่เป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการต่อสู้ของประชาชนที่ก้าวหน้า แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องช่วยเหลือมิตรของเราซึ่งได้แก่พรรคเพื่อไทยหรือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยการแสดงความเห็นหรือวิจารณ์อย่างเหมาะสม
สิ่งสำคัญจำเป็นต้องแยกมิตรแยกศัตรูให้ได้ มิใช่ผลักมิตรให้เป็นศัตรู หรือใช้ท่าที่ที่ไม่ถูกต้องต่อมิตร
แม้ จะมีคนบางกลุ่มบางพวก กระทำต่อเราอย่างมิใช่มิตร แต่ขบวนการต่อสู้และแกนนำที่เข้าใจต้องอดทน ผ่านการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ ความถูก ผิด ในหมู่ประชาชนให้เขาได้เรียนรู้ เพราะคำประนามหยามเหยียดในหมู่ฝ่ายประชาชนด้วยกันก็คือ “สนิมที่เกิดแต่เนื้อในตน ย่อมกัดกินเหล็กจนกร่อน” และอาจพาให้ขบวนการประชาชนแตกสลายจากภายในได้ ยิ่งกว่าการทำลายของฝ่ายศัตรูของประชาชน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องกำหนดชัดเจนว่า เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่จะต่อสู้มิใช่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เป็นระบอบอำมาตย์ที่ยังคงอำนาจอยู่อย่างเต็มที่ ทั้งในกองทัพ และในองคาพยพอื่นๆของสังคม ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีจึงพุ่งเป้าไปยังระบอบอำมาตย์
ยุทธศาสตร์ 2 ขา ต้องปรับเน้น บทบาทเวทีในรัฐสภาให้มากขึ้นกว่าในอดีต ส่วนขาในฐานะองค์กรประชาชนก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง การขยายตัว และการจัดตั้ง และเสริมบทบาทกับขาในเวที รัฐสภา
ขาองค์กรประชาชนนั้น ถือเป็นเวลาเติบใหญ่ในการขยายงานมวลชน ทั้งปริมาณและคุณภาพ และยกระดับการนำ การคัดสรร บุคคลากรในการทำงานส่วนต่างๆให้มีบทบาทสร้างสรรค์มากขึ้น
ยุทธศาสตร์ 2 แขน ที่มีแขนขวาหมายถึงมวลชนพื้นฐาน ก็ต้อง ปรับปรุงขยายในหมู่ผู้ใช้แรงงานในระบบที่ต้องการเรียกร้อง ค่าแรง และสวัสดิการให้มากขึ้น
แต่ที่ต้องเน้นมากคือ แขนซ้ายอันหมายถึงชนชั้นกลางปัญญาชน พ่อค้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และข้าราชการ ทหาร พลเรือน ระดับกลาง กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในสังคมไทย ต้องให้คนเหล่านี้ ขยับจากอนุรักษ์นิยม มาสู่ เสรีนิยม หรือ ทำเสื้อเหลืองให้เป็นเสื้อขาว แล้วค่อยเปลี่ยนมาเป็นเสื้อแดง โดยความเต็มใจในเหตุผลและความถูกต้องของทิศทาง เพราะคนเหล่านี้มิใช่คนที่เข้าใจยาก แต่การถูกครอบงำความคิดอนุรักษ์นิยมมายาวนาน และการกลัวเสียผลประโยชน์ของตนจึงทำให้ไม่ยอมเปลี่ยน แม้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะได้แสดงเจตจำนงของประชาชนไทยชัดแจ้งแล้วก็ตาม
สำหรับ 4 เขตยุทธศาสตร์ ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น 5 เขตยุทธศาสตร์ คือ
1. ชนบท
2. เมือง
3. กทม.
4. ต่างประเทศ
5. สังคมโลกไซเบอร์
5 เขตยุทธศาสตร์ นอกจากยกระดับคุณภาพและปริมาณในทุกเขตยุทธศาสตร์แล้ว ที่ต้องเน้นคือ เขตเมือง กทม. ต่างประเทศ และสังคมอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตยุทธศาสตร์ในโลกไซเบอร์ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องใช้ยุทธวิธี รุกอย่างรวดเร็ว และให้ได้ผล
นี่ เป็นเพียงข้อสังเกตุ เบื้องต้น ในปัญหาเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ที่คนเสื้อแดง ต้องพิจารณาว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู และจะมีบทบาทอย่างไรในสถานการณ์ใหม่ที่มิตรเป็นรัฐบาล