เมื่อวันที่ 18 มกราคม นายสุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหนึ่งในนักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง "(กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ในสถานการณ์สู้รบ 5)" มีเนื้อหาว่า
ต่อไปนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเพียงลำพังเท่านั้นนะครับ ปัญหา ม. 112 ที่กำลังเป็นข้อขัดแย้งอยู่ในขณะนี้ ถ้ามองจากปรัชญาความเสมอภาพและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ตามปรัชญาแบบตะวันตกที่ไม่เชื่อและไม่ยอมรับในเรื่องสมมุติเทพรวมทั้งเคยมีบาดแผลทางประวัติศาสตร์ในยุคกลางที่เป็นยุคมืด ตามมาด้วยการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็พอเข้าใจได้หรอกครับว่าทำไมพวกปัญญาชนไทยที่จบการศึกษาจากโลกตะวันตกหรืออินกับการศึกษาแบบตะวันตกถึงไม่ค่อยแฮบปี้กับ ม. 112 นี้นัก ตรงนี้คิดว่าน่าจะมีพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้อย่างเคารพในความเป็นมนุษย์ของกันและกันได้นะครับอันนี้หมายความว่า ไม่มี "บริบททักษิณ" เข้ามาเกี่ยวข้องนะครับ แต่ทว่าสถานการณ์ในความเป็นจริงขณะนี้ไม่ใช่เช่นนั้นเลย ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฏร์รวมทั้งกระบวนการเกี่ยวเนื่องที่ตามมาล้วนถูกวางแผนมาอย่างดีใน"บริบททักษิณ" (พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเป็นหมากตัวหนึ่งของทักษิณ) โดยมีเป้าหมายที่ซ่อนเร้นอย่างชัดแจ้ง เพราะฉะนั้น นี่มิใช่การถกเถียงทางวิชาการหรือทางปรัชญาเฉยๆ แล้วนะครับ แต่เป็นการต่อสู้อย่างอำมหิตเพื่ออำนาจและการเปลี่ยนระบอบโดยเอาชีวิตของผู้คนเป็นเหยื่ออย่างไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใดเลยต่างหาก
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่งครับ
สุวินัย ภรณวลัย
จากนั้น นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์งานเขียนชื่อ "แด่สุวินัยอีกครั้ง" ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเช่นกัน โดยมีเนื้อหาดังนี้
อาจารย์สุวินัยเป็นคนดีและมีน้ำใจเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูงยิ่ง ผู้รู้จักคบหาแกย่อมตระหนักซาบซึ้งข้อนี้ดี แต่อาจารย์สุวินัยมีอุปสรรคหรือกับดักทางปัญญาที่แกข้ามไม่พ้นอยู่จำนวนหนึ่ง และไม่เคยมีใครเอาจริงกับแกในเรื่องเหล่านี้ ส่วนหนึ่ง ต่อให้เอาจริง แกก็ยากที่จะรับฟังตามบุคลิก "ท่าทีเชื่อแบบซามูไร" คือเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปักใจเชื่อแต่ละครั้ง พร้อมจะฟาดฟันทุกอย่างที่ขวางทางเชื่อ จนกว่าแกจะหันไปเชื่อสิ่งใหม่ แบบซามูไรตามเคย
อุปสรรคแรกที่อ.สุวินัยข้ามไม่พ้นคือกับดักทางจิตวิญญาณพูดอย่างสั้นที่สุด อ.สุวินัย แยกไม่ออกระหว่างอาตมัน/นิพพาน/พระเจ้า (แล้วแต่ศาสนา) หรือเรียกเพื่อความเข้าใจง่ายว่า transcendental being กับตัวตนที่เล็ก ชั่วคราวในโลก และมีขีดจำกัดของแก (และของมนุษย์ทุกคน) โดยเอาตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาตมัน แกก็เอาอาตมันมาเป็นส่วนหนึ่งของอัตตาเล็ก ๆ ที่มีขีดจำกัด ความรู้ไม่ถ้วน เข้าใจไม่หมดและมีอวิชชากิเลสปนเปื้อนเหมือนปุถุชนทุกคนของตัวแก แล้วอ้างว่าที่อัตตาซึ่งมีขีดจำกัดของแกทำนั้น ทำในนามอาตมัน ใครขัดขวางคิดต่าง เท่ากับออกห่างไม่เข้าใจหรือขัดขวางอาตมัน/ธรรมะ แล้วแต่กรณี
อุปสรรคที่สอง คือมายาคติที่อ.สุวินัยไปติดมาจากเรียนญี่ปุ่น, วัฒนธรรมเจ๊กจีนของตัวและครอบครัว (ผมก็มี แต่จะจัดการอย่างไร...) คือเส้นแบ่งระหว่างตะวันออกกับตะวันตก เส้นแบ่งนี้เท่าที่บอกถึงฐานคิดบุคลิกที่แตกต่างบางอย่างทางวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ ก็ฟังขึ้นอยู่ แต่มันได้ถูกปลูกปั้นจากนักคิดทุนนิยมตะวันออกบางกลุ่ม (ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และต่อมาคือจีน) ให้กลายเป็น Orientalism กลับตาลปัตร (ตะวันออกไม่เหมือนตะวันตก - จริงอย่างที่นักวิชาการตะวันตกสาย orientalist สรรค์สร้างขึ้นนั่นแหละ - แต่ไม่เหมือนน่ะดีแล้ว มันแสดงว่าตะวันออกเหนือกว่า) หรือพูดกลับกันคือแต่งนิยาย Occidentalism เพื่อเหยียบตะวันตกในจินตนาการ แล้วรู้สึกดีกับมายาคติตะวันออกของตัวนั่นเอง กลายเป็นว่าความเสื่อมทรุดทั้งหลายทางสังคมวัฒนธรรมโยนขี้ให้ตะวันตก (หารู้ไม่ ตะวันออกทำเองเละกว่าเยอะแยะ) ส่วนอะไรที่เข้าท่าดูดีทางจิตวิญญาณ เหมาให้ตะวันออกหมด แล้วก็รู้สึกดีโดยไม่ลงทุนทางการปฏิบัติเปลี่ยนสร้างสังคมอะไร เพราะเรามี/เป็นตะวันออกอยู่ในยีนส์
มายาคติที่เป็นอปุสรรคประการสุดท้ายสำหรับอ.สุวินัยที่ขอกล่าวในที่นี้คือเวลาแกมองอะไรแก มองชัด เพราะแกมองแคบ โฟกัส แล้วก็เลยไม่มองแง่อื่นมุมอื่นในโลกใบกว้างนี้ กลายเป็นว่าความจริงถูกหดลดเหลือแค่จอสี่เหลี่ยม (ทีวี) ที่จำลองความจริงอันซับซ้อนในโลกเหลือแค่นั้นเอง นี่คือจุดแข็ง/จุดอ่อนที่สุดของ อ.สุวินัย ในการมองโลก จอใบนี้แคบเหลือแค่ "ระบอบทักษิณ" ในทางการเมืองในรอบ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงแตกต่างหลากหลายขัดแย้งทางการเมืองท้ั้งหมดในประเทศไทยถูกสายตาของอ.สุวินัยหดแคบเหลือแค่ "ทักษิณกับปรปักษ์" ในจอโทรทัศน์การเมืองไทยของแก ซึ่งเผอิญรับถ่ายทอดสดมาจากผู้จัดการ/เอเอสทีวี/พันธมิตร แกจึงมองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน ความหลากหลายแปลกต่างซับซ้อนมากมายทางการเมืองสังคมไทยในระยะที่ผ่านมา ปัดทั้งหมดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี และอย่าลืม อาตมันทำให้ใจแกเหี้ยมเกรียมได้มากเพราะแกไม่ได้คิดว่าแกกำลังทำในนามตัวเองที่ต้องรับผิดชอบเฉพาะตัวแต่ประการใดแต่กำลังทำในนามอาตมัน และสำหรับอาตมันนั้น แท่นบูชาข้างหน้าสำคัญยิ่งใหญ่พอจะรับเลือดเนื้อของผู้คนธรรมดาสามัญอย่างเราเท่าไรก็ได้
ผมไม่ว่าอะไรเพราะความเชื่อเราต่างกันได้ต่อให้ไม่เห็นด้วยแต่อ.สุวินัยนับวันได้ทำร้ายความคิดจิตใจสังคมและผู้คนด้วยความเชื่อของตนอย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อคนอื่นเชิงมนุษยธรรมมากขึ้นทุกทีส่วนหลังนี้ผมรับไม่ได้ และคิดว่าอยากวิจารณ์หนัก ๆ และเตือนจริง ๆ สักที ผมไม่คาดหวังว่า อ.สุวินัย จะสามารถฟังได้ (ผมมันก็แค่ไอ้นักวิชาการหัวตะวันตกคนหนึ่ง แหะ ๆ ห่างไกลธรรมะ 555 และไม่มีทางหยั่งถึงอาตมัน/นิพพาน/พระเจ้าได้ แฮ่ ๆ ๆ) เอาเป็นว่าฟังผมเท่าที่อาจารย์สุวินัยเคยฟังอาจารย์กู้ก็แล้วกัน
สุดท้ายผมอยากบอกความในใจบางอย่างแก่อ.สุวินัยช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา อ.สุวินัย กรุณาเขียนอีเมล์ถึงผมถามข่าวคราวทุกข์สุขด้วยความเป็นห่วง ผมคิดอยู่นานเนื่องจากก่อนนี้ไม่นานอ.สุวินัยกับสหายเพิ่งเขียนวิพากษ์วิจารณ์ผมทางการเมืองก่อนเกิดเหตุเมษา-พฤษภาอำมหิต 53 อย่างดุเดือด แต่ในที่สุด ผมมองข้ามสิ่งเหล่านั้นและตอบแกไปตามน้ำใจที่มีมา (water from the heart) ยิ่งกว่านั้นผมยังเชื่ออีกว่า สมมุติผมกับแกไปอยู่ในภาวะฉุกเฉินเฉพาะหน้า แกนั่นแหละจะเสี่ยงเอื้อมมือมาช่วยผมในฐานะมิตรอย่างไม่ลังเล ผมเชื่อเพราะผมรู้จักแก แต่กระนั้น ในฐานะมิตร ผมก็ปวดใจมากที่เห็นอ.สุวินัยใช้พลังของตัวทำร้ายคนอื่นและสังคมในทางการเมืองด้วยความลุ่มหลงธรรมาธรรมะสงครามมากขึ้นทุกทีจึงตัดสินใจเขียนเตือนและวิจารณ์ตรง ๆ อย่างนี้ ถือว่าผมทำตามหน้าที่ที่พึงทำต่อมิตรผู้หนึ่งอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน
ต่อมานายสุวินัยได้โพสต์ข้อความเรื่อง "(กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ในสถานการณ์สู้รบ 7)" ว่า
ผมเป็นคนเปิดเผยและไม่มีเบื้องหลังให้ต้องระแวงสงสัย เมื่อครู่ที่ผ่านมาผมได้รับจดหมายจากท่านอาจารย์เกษียรซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นบทความของท่านเรื่อง "แด่สุวินัยอีกครั้ง" ที่จะลงในหนังสือพิมพ์มติชนวันศุกร์นี้ แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เราจะเห็นต่างกันในมุมมองทางการเมือง แต่โดยส่วนตัวแล้วผมทั้งรัก นับถือและซาบซึ้งในมิตรภาพที่อาจารย์เกษียรได้มอบให้แก่ผมในยามเกิดเรื่องอาจารย์กู้เมื่อสิบสองปีก่อนและกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงไม่เคยวิพากษ์อาจารย์เกษียรทั้งทางข้อเขียนและทางวาจา ทั้งต่อหน้าและลับหลังเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะอยู่กับท่ามกลางเหล่าขุนพลของฝ่ายพันธมิตรในที่รโหฐาน อันนี้คงเป็นคุณธรรมแบบตะวันออกที่ตัวผมยึดถือมากว่าค่อนชีวิตกระมังครับ จะว่าไปแล้วมุมมองและการวิเคราะห์ทางการเมืองของอาจารย์เกษียรในช่วงที่ผ่านมาในหลายเรื่องได้ช่วยให้ผมสามารถทำความเข้าใจได้ชัดขึ้นว่าทำไมเหล่าปัญญาชนหัวก้าวหน้าจำนวนไม่น้อยจึงคิดต่างไปจากพันธมิตรองค์ความรู้หลายอย่างที่ปัญญาชนเหล่านี้ได้นำเสนอออกมาผมคิดว่ามีความสำคัญมากในการบูรณาการความจริงหลังจากสงครามระหว่างสีที่ยือเยื้อมากว่าหกปีและคงยืดเยื้อไปอีกพักใหญ่สิ้นสุดลง
ในบทความล่าสุดของอาจารย์เกษียรนี้ท่านอาจารย์ได้วิพากษ์กระบวนทัศน์ของผมถึงสามประเด็นซึ่งเป็นบทวิพากษ์ที่นักวิชาการมักใช้ตรวจสอบปัญญาชนในสาย "จิตวิญญาณนิยม" เรื่องนี้มีรายละเอียดที่ต้องคุยกันยาวและแม้ผมคิดว่าอาจารย์คลาดเคลื่อนในความเข้าใจเรื่องจิตในบทวิพากษ์ประเด็นแรกที่สำคัญที่สุดในการวิพากษ์ผม (ความต่างระหว่างอาตมันกับตัวตนย่อยที่ยังมีกิเลสของปัจเจกที่ไม่อาจปนเปหรือคิดว่าเป็นเนื้อเดียวกันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง) เพราะที่เหลือเป็นแค่การวิพากษ์ผมในเรื่องท่าทีและบุคลิกของผมยามจะเชื่ออะไรเท่านั้น
อย่างไรก็ดีผมยินดีน้อมรับการวิพากษ์ของอาจารย์เกษียรอย่างจริงจังและเปิดใจกว้างและจะนำไปตรวจสอบตนเองและโยนิโสมนสิการอย่างจริงจังต่อไปครับผมรู้สึกดีใจมากๆเลยครับที่ยังสามารถสื่อสารกับอาจารย์เกษียรอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาได้ ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อเปิดพื้นที่แห่ง "สานเสวนา" เพื่อความปรองดองที่แท้จริงในสังคมนี้ได้ และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มากที่สุดจากบทความของท่านอาจารย์เกษียรข้างต้นก็คือ เราสามารถเรียนรู้ได้มากเหลือเกินจากผู้อื่นที่มองโลกด้วยมุมมองที่แตกต่างค่อนข้างมากไปจากตนเอง
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่งทั้งต่อมิตรสหายและผู้ที่เห็นต่างไปจากพวกผมครับ ^_^
สุวินัย ภรณวลัย
และ "(กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ในสถานการณ์สู้รบ 8)" ซึ่งมีเนื้อหาว่า
บันทึกต่อไปนี้เป็นบันทึกส่วนตัว ประสบการณ์ทางวิญญาณส่วนตัวและความเชื่อส่วนตัวของผมเท่านั้นนะครับ ^_^ วันนี้ได้กลายเป็นอีกวันหนึ่งที่จะตราตรึงอยู่ในใจของผมไปอีกนานเท่านานอย่างแน่นอน เริ่มจากตอนเช้าที่ผมได้รับจดหมายจากอาจารย์เกษียรที่เขียนถึงผมและวิพากษ์ผม
แปลกแต่จริงทั้งๆที่ผมถูกวิจารณ์ แต่ผมกลับตระหนักถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นทางจิตใจที่เราทั้งคู่มีต่อกัน ใจผมรู้สึกอบอุ่นระคนเปียกชื้นอยู่ภายใน ผมมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมาว่า จากการที่ตัวแทนของผู้นำทางความคิดจากแต่ละฝ่ายได้มีโอกาสควักหัวใจตีแผ่ออกมาให้แก่กันและกัน มันจะช่วยให้เกิดการสานเสวนาเพื่อปูทางไปสูความปรองดองทางความคิดในอนาคตข้างหน้าได้เมื่อต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้มุมมองของกันและกันอย่างจริงจังและจริงใจซึ่งที่ผ่านมาสงครามวาทกรรมในช่วงหกปีมานี้มันแทบทำให้ไม่มีโอกาสสานเสวนาเช่นนี้ได้เลย
ผมคิดว่าอย่างน้อยวันนี้คงจะเป็นก้าวเล็กๆของก้าวแรกๆที่จะนำไปสู่เส้นทางนี้ได้ ในตอนบ่ายผมไปนั่งสมาธิที่สถานปฏิบัติธรรมบ้านบุญเหมือนเช่นเคย พลันที่ผมนั่งลงและเดินลมปราณอักษรสวรรค์ตามที่หลวงปู่พุทธะอิสระได้สอนพวกผมไว้
ในเวลาไม่กี่อึดใจพระธาตุก็ร่วงเสด็จลงมาโดนตัวผมหลายองค์เป็นระยะๆ จากนั้นผมได้ตั้งจิตอธิษฐานในสมาธิ แผ่ความรักความเมตตาให้แก่พี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกับผมและผู้ที่เห็นต่างกับพวกผม ทันใดนั้นเองพร้อมๆกับที่ตัวผมอธิษฐานจิตแผ่เมตตาจบลง ก็มีพระธาตุองค์หนึ่งเสด็จลงมาที่ฝ่ามือผมในบัดดลนั้นทันที ขณะนั้นผมยังนั่งหลับตาอยู่จึงนึกว่าคงเป็นพระธาตุธรรมดาเหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมกลับได้เห็นพระธาตุส่วนพระสมองสีชมพูวางเด่นอยู่บนฝ่ามือผม นี่เป็นครั้งแรกที่พระธาตุส่วนพระสมองสีชมพูเสด็จลงมาที่ฝ่ามือผมในขณะกำลังนั่งสมาธิและเสร็จสิ้นการอธิษฐานจิตอยู่
ปาฏิหาริย์มิได้จบแค่นั้นเมื่อผมออกจากสมาธิปรากฏว่ามีพระธาตุเสด็จลงมาที่ผมทั้งหมด 25 องค์ด้วยกัน โดยเป็นพระธาตุธรรมดาแค่ 7 องค์ ที่เหลือเป็นพระธาตุส่วนพระสมองที่เป็นเม็ดสีกลมๆทั้งสิ้น 18 องค์ นี่ก็เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผมมานั่งสมาธิที่นี่เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ที่จำนวนพระธาตุส่วนพระสมองมีมากกว่าพระธาตุธรรมดาขนาดนี้ (ธรรมดาพระธาตุส่วนพระสมองจะไม่ค่อยเสด็จลงมายกเว้นเป็นวาระพิเศษจริงๆ)
ก่อนจะกลับผมเห็นคุณยายท่านหนึ่งไม่ค่อยมีพระธาตุเสด็จลงมาและยังไม่มีพระธาตุส่วนพระสมองเลย ผมจึงหยิบส่วนที่ผมได้มาให้คุณยายท่านนั้นหนึ่งองค์เป็นเม็ดสีน้ำเงิน ในทันทีที่ผมยื่นมอบพระธาตุส่วนพระสมองไปให้คุณยาย พระธาตุส่วนพระสมองอีกองค์หนึ่งเม็ดสีน้ำเงินเหมือนกันก็ตกลงมาที่ขาผมทันทีเช่นกัน ห้วงยามนั้นผมรู้อย่างแจ่มแจ้งทันทีเช่นกันว่า ธรรมะก็คือการให้และเป็นการให้ด้วยใจแท้ๆ
ปาฏิหาริย์ยังไม่จบแค่นั้น ตอนที่ผมจะลากลับ ผมมักไปกราบรูปปั้นเทพสององค์ที่อยู่บนชั้นเดียวกันกับพระจักษุธาตุ ผมกราบพระจตุคามรามเทพก่อน วิธีกราบเทพของผมคือ เอาหน้าผากของผมไปแต่ที่ปลายเท้าเทพ พอผมก้มลงกราบพระพิฆเนศแบบเดียวกัน หลังจากที่เอาหน้าผากแตะปลายเท้าแล้ว ผมมักจะเอามือขวาไปแตะที่องค์เทพก่อนนำมาแตะที่หน้าผากตนเอง ทันใดนั้นเองตอนที่ผมเอื้อมมือไปแตะองค์เทพ พระธาตุส่วนพระมังสะที่เป็นผลึกแก้วสีขาวก็ปรากฏผ่านองค์เทพมาอยู่ที่ปลายนิ้วขวาผมทันที นี่คือพระธาตุองค์สุดท้ายที่ผมได้ในวันนี้
ด้วยจิตคารวะและนอบน้อมยิ่งครับ
สุวินัย ภรณวลัย