นโยบาย "คนโง่" นโยบาย แปร "ศัสตรา" เป็น "แพรพรรณ"

มติชน 24 ธันวาคม 2554 >>>




การเดินทางไปเยือนเมียนมาร์และเข้าร่วมประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงที่นครเนปิดอว์ทรงความหมายอย่างยิ่งอยู่แล้ว
การเข้าเยี่ยมคารวะและสนทนาเป็นการส่วนตัวกับ นางออง ซาน ซูจี ยิ่งมีความสำคัญ
ยังไม่ทันที่การเยือนเมียนมาร์จะจางจากหายไป การเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ นายสี จิ้น ผิง รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนก็บังเกิดขึ้น
ภาพตรวจแถวกองเกียรติยศ ณ ทำเนียบรัฐบาล สง่างามเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน การประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่เคยชะงักค้างอย่างยาวนานในรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เปิดม่านขึ้นที่กรุงพนมเปญ ด้วยความคึกคัก เข้มข้น
เป็นการพบกันระหว่าง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา กับ พล.อ.เตีย บัน
แถลงการณ์ร่วมแสดงออกอย่างเด่นชัดแห่งเงาสะท้อนของ "บรรยากาศมิตรภาพและอบอุ่น 2 ฝ่ายได้แสดงอีกครั้งถึงความเชื่อมั่นต่อกัน เพื่อผลักดันให้มีสันติภาพและความปลอดภัยตามแนวชายแดนระหว่างประเทศทั้งสอง
2 ฝ่ายรับทราบว่า ความสัมพันธ์ฉันมิตร เป็นประเทศข้างเคียงที่ดีและความร่วมมืออย่างเต็มที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม
ความอบอุ่นเป็นมิตรอย่างนี้ รัฐบาล"โง่" ทำไม่ได้หรอก
ความคึกคักอย่างนี้นายกรัฐมนตรี "โง่" ยากยิ่งที่จะผลักดันให้บรรลุได้
ปรากฏการณ์ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่นนี้สะท้อนอะไรบ่งบอกความนัยอะไรในทางการเมือง
1 บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีจุดเริ่มมาจากผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม
เมื่อประชาชนกว่า 15 ล้านคนมอบความไว้วางใจให้กับพรรคเพื่อไทย
เมื่อพรรคเพื่อไทยประสานและร่วมมือกับ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคพลังชล พรรคมหาชน จัดตั้งรัฐบาล 300 เสียงแล้วเสนอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
ทุกอย่างจึงเป็นการขับเคลื่อนโดยฝีมือและความสามารถของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของพรรคเพื่อไทยและของพรรคร่วมรัฐบาล1 ปรากฏการณ์ทั้งหมดบ่งบอกถึงแนวโน้มอันอบอุ่นยิ่งของความเป็นมิตร
รูปธรรมการมาเยือนของ นายสี จิ้น ผิง ซึ่งจะเป็นผู้นำรุ่น 4 ของจีน สำคัญอย่างยิ่งอยู่แล้ว การสมานไมตรีกับกัมพูชา การเชื่อมกระชับมากยิ่งขึ้นกับเมียนมาร์ สร้างภาพอันโดดเด่นของไทยในเวทีโลก
นี่คือกระบวนการแปร "ศัสตรา" มาเป็น "แพรพรรณ"
มีคำประณามหยามหมิ่นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในเรื่องความโง่เขลาเบาปัญญาของนายกรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันมาจากฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายตรงข้ามที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปในสนามการเลือกตั้ง
ฝ่ายตรงข้ามที่เคยเกาะกระแสรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และยังไม่ยอมรับว่าไม่มีศักยภาพอย่างเพียงพอที่จะบดขยี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้แหลกยับเป็นผงฝุ่น
ฝ่ายตรงข้ามอันสถาปนาตนเองเป็น "ผู้ดี" เดินตรอก
ฝ่ายตรงข้ามอันสถาปนาตนเองเป็น "ชนชั้นสูง" ผู้มากด้วยสติปัญญา สูงส่งด้วยจริยธรรมคุณธรรมล้ำเลิศ
ยิ่งชี้นิ้วประณามหยามหมิ่น ยิ่งจะกลายเป็นเหมือน "บูมเมอแรง"
เพราะ 1 นิ้วที่ชี้ออกไป ก็จะเหลืออีก 3 นิ้วย้อนกลับเข้าหาตัวเอง กลายเป็นเหมือนกับกำลังประณามหยามหมิ่นตนเอง
ยิ่งรัฐบาลประสบความสำเร็จ ยิ่งทำให้บังเกิดอาการกระบอกตาร้อนผ่าว
ทั้งๆ ที่ความสำเร็จทั้งมวลล้วนผุดบังเกิดขึ้นบนซากปรักหักพังแห่งความล้มเหลวอันพวกตนก่อขึ้นนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา
เรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้ "คนโง่" ทำได้สำเร็จอย่างไรเล่า
กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังประสบจากคนบางส่วนก็เป็นเหมือนกับที่ "หลู่ซิ่น" เคยประสบ
ทุกครั้งที่เขาเดินเข้าไปในซอกซอยอันไม่เคยผ่านมาก่อน เสียงสุนัขจะเห่าหอนและคำรามอยู่โดยรอบ แต่เมื่อเดินเข้าไปหนที่ 2 คนที่ 3 เสียงเห่าหอนคำรามก็จะค่อยๆ จากจางหายไป
แต่จะหวังให้หายเหี้ยนจนหมดสิ้นนั้น เป็นไปได้ยากยิ่ง