"อ.ธิดา" ในรายการ "ทันสถานการณ์บ้านเมือง" NBT



ทีมข่าว นปช.
9 กุมภาพันธ์ 2557


เมื่อวานนี้ (8 ก.พ.) อ.ธิดา  ถาวรเศรษฐ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการทันสถานการณ์บ้านเมือง ทางสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งดำเนินรายการโดย คุณจิรภา  สีตาบุตร  ประเด็นการสนทนากันคือ "มองม็อบ กปปส." โดยคำถามก็มีตั้งการการพัฒนาการของกลุ่มผุ้ชุมนุม กปปส. และมีการวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งด้วย
ซึ่งทางทีมงานเห็นว่าเป็นประโยชน์จึงได้ทำการถอดคำให้สัมภาษณ์มาให้ติดตามอ่านกันดังนี้ค่ะ

ถอดคำให้สัมภาษณ์ อ.ธิดา  ถาวรเศรษฐ ในรายการทันสถานการณ์บ้านเมือง
ประเด็น “มองม็อบ กปปส.”ทางสถานี NBT 
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557  ดำเนินรายการโดย คุณจิรภา  สีตาบุตร

ผู้ดำเนินรายการ : 
การพัฒนาการของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ตั้งแต่เริ่มต้นจนถืงตอนนี้มีพัฒนาการเป็นอย่างไร

อ.ธิดา :
ตอนเริ่มต้นเป็นปัญหานิรโทษกรรม  ต้องถือว่าเขาทำงานได้ดี  ทีนี้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เขาออกมาต่อต้านมันจึงมีคนมาร่วมมาก  พูดกันตรง ๆ นปช.ก็ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม  แต่เราไม่ได้ออกมาร่วมกับเขา  แต่หมายความว่าประเด็นที่ออกมาเป็นประเด็นที่เรียกคนได้มาก  ดังนั้นต้องถือว่าประสบความสำเร็จ  สมมุติว่าถ้าเขาหยุดตอนนั้นแล้วก็กลับไปพัฒนา ยกตัวอย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ก็กลับไปพัฒนาพรรค เขียนนโยบายออกมาชูอะไรต่าง ๆ คิดว่าในทางการเมืองเขาก็จะได้เปรียบ  แล้วพรรครัฐบาลอาจจะต้องต่ำลง  แต่ทีนี้เขาไม่เคยเห็นม็อบมากขนาดนี้ ดีใจ คือไม่หยุด...ต่อ..ตรงนี้มันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าเขาต้องการอะไร!!!  พอเป็นตรงนี้ความชอบธรรมทางการเมืองหาย!!!  แต่ถามว่าเขาก็ยังระดมคนได้  อันนี้จึงทำให้มองว่าในช่วงแรกยุทธศาสตร์ยุทธวิถีของเขาโอเค  แต่ว่าพอเกิดความไม่ชอบธรรมทางการเมือง  ก็คือคุณเลยแล้ว  คุณมาต่อต้านแค่นี้ รัฐบาลเขาถอยจนหมดจากนิรโทษสุดซอยจนถอยสุดซอย  และในที่สุดกระทั่งนำไปสู่การยุบสภา

ในเชิงโลกของอารยะชน  การที่รัฐบาลยุบสภาก็คือการที่ยอมรับว่าเขายอมรับปัญหาที่มีคนมาประท้วง  รัฐบาลก็เลยถอยคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใหม่  แต่พวกไม่ยอมหยุดคงรู้สึกคึกเพราะได้คนมาเยอะ    พอนานเข้าความไม่ชอบธรรมก็มากขึ้น  แต่เขาทุ่มเทมาก  เพราะฉะนั้นเป้าหมายก็เปลี่ยนกลายเป็นว่าล้มรัฐบาล  ไม่พอ...ตอนนี้ล้มระบอบประชาธิปไตย  เพราะฉะนั้นมันเกิดทั้งความไม่ชอบธรรมทางการเมือง  ไม่ชอบธรรมทางกฎหมาย  สิ่งเหล่านี้มันดำรงอยู่ไม่ได้  ถึงแม้มันจะดูเหมือนเฟื่องฟูเยอะแต่ในที่สุดโดยหลักการมันไม่ชอบธรรมและไม่ถูกต้อง  มันจะไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตได้  

พอมาถึงตอนนี้หลายคนตั้งคำถามเพราะว่าพอรัฐบาลใช้เครื่องมือของระบอบประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง  เขาก็ใช้วิธีที่ไม่ชอบธรรมมาขัดขวาง  อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่  เขาเปลี่ยนจากในฐานะที่เป็นฝ่ายรุกมาเป็นฝ่ายรับตอนที่รัฐบาลคืนอำนาจมาสู่การเลือกตั้ง  แต่การเลือกตั้งเขาก็ใช้วิธีรุกของเขาอีก  แต่รุกแบบแย่มากคือมาขัดขวาง  แม้กระทั่งนายบันคีมุนก็บอกว่านี่เป็นอาชญากรรม  ไม่มีใครรับได้ในโลก  เมื่อความชอบธรรมหมดคนก็จะต้องหดหายไปจำนวนหนึ่ง  เพราะเราก็เชื่อว่าคนที่มาร่วมกับเขาก็ต้องยั้งคิดว่าสิ่งที่มาร่วมนั้นถูกต้องหรือเปล่า  ตรงนี้ถ้ายิ่งรัฐบาลหรือทางอำนาจรัฐที่ดูแลอยู่จัดการจับเหมือนอย่างที่เราได้ยินได้เห็นว่าจับคนที่มาขัดขวางมากขึ้น ๆ คนก็จะรู้สึกเลยว่านี่มันไม่ใช่แล้ว  ไม่ใช่เชิงอุดมการณ์  คนที่มาร่วมอาจจะเชื่อด้วยอย่างไรก็ตาม  แต่เราก็เชื่อว่าจะต้องมีคนจำนวนหนึ่งเข้าใจ

อีกอย่างหนึ่งคือระยะเวลามันนานมาก  พูดได้ว่า “จะชัตดาวน์กรุงเทพในเชิงยุทธวิธี” ก็ไม่ได้สำเร็จ  “จะจัดการล้มการเลือกตั้ง”  ก็ยังไม่สำเร็จ  “จะเรียกให้รัฐประหารมาก่อความวุ่นวายรุ่นแรง”  ก็เราไม่เอาด้วย  คุณรุนแรงก็รุนแรงไปข้างเดียว ก็ไม่สำเร็จ  ก็เลยถามคุณจตุพรเผื่อเอามาฝากพี่น้องคุณจตุพรบอกว่า “ผมว่ามันเหมือนนาฬิกาทรายที่ทรายกำลังจะหมด” อาจารย์ก็เลยบอกว่า “งั้นก็เอาข้าวเปลือกมาเติมไหม  แต่เผอิญข้าวเปลือกมันรูใหญ่กว่ารูนาฬิกาทราย” ถามคุณณัฐวุฒิก็บอกว่า “ความไม่ชอบธรรมทำให้ไม่สามารถดำเนินต่อได้”  (พูดแบบประสบการณ์คนทำม็อบนะ)

ผู้ดำเนินรายการ :
จุดอ่อน จุดแข็งของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. คืออะไร

อ.ธิดา :
จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำให้ม็อบนี้ไม่มีวันได้รับชัยชนะ  ก็คือความไม่ถูกต้อง  ไม่ชอบธรรม  ถ้าคุณจะชุมนุมประชาชนและขับเคลื่อนให้ได้รับความสำเร็จนั้น
1. เป้าหมายคุณต้องถูกต้อง  
2. วิธีการต้องถูกต้อง  ยุทธศาสตร์  ยุทธวิธีถูกต้อง 
ถ้าเป้าหมายผิด แต่ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีสอดคล้องกับความเป็นจริง  ก็จะได้รับชัยชนะชั่วคราว  และในที่สุดคนก็จะรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของคุณคืออะไร
3. คณะผู้นำในการขับเคลื่อนได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ

ที่เราเห็นความสำเร็จชั่วคราวนั่นก็คือว่าเขากำหนดเป้าหมายเฉพาะหน้านั้นไม่ผิด  คือล้ม พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเป้าหมายเฉพาะหน้าที่สอดคล้องกับสถานการณ์  เอาเป็นว่าความคิดของคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่เห็นด้วย  เมื่อเขาเสนอสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยมาต่อสู้ คนเลยออกมา นั่นคือเป้าหมายที่หนึ่งของเขาสอดคล้อง  พอเขาเขยิบเป็นเป้าหมายที่สองคนก็ยังอยู่ในอารมณ์ที่ว่ามันก็คงใช่นะ  ก็เอาซะหน่อย  พอถัดไปหลาย ๆ ที มันเริ่มห่างจากสิ่งที่ถูกต้อง  เริ่มห่างจากความเห็นพ้องกันของประชาชน  เริ่มห่างจากสิ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั้งคนในประเทศและทั้งโลก

ขณะนี้เขาพยายามพูดเรื่อง “ปฏิรูป” อ้างว่าปฏิรูปคือเป้าหมาย  แต่จริง ๆ ไม่ใช่  นี่คือเป้าหลอก!!!  ซึ่งมันฟังดูดี  แต่ถ้ามาบอกว่าจะล้มระบอบประชาธิปไตยคนก็ไม่เอาด้วย  ถ้าใครเข้าใจตัวนี้คนก็จะมาน้อยลงและเชื่อว่าคนก็จะเริ่มเข้าใจ  ตอนนี้พอเขารู้ว่าปฏิรูปมันจะดูไกล  ขณะนี้ยุทธวิธีใหม่ล่าสุดก็คือ “ช่วยชาวนา”  คือพยายามเปลี่ยนเป้าหลอกเพราะว่าเป้าจริงพูดไปไม่มีใครเอา    จึงต้องบอกเป้าหลอกว่า “มาช่วยชาวนาหน่อย” 

เรื่อง “ปฏิรูป” นี่ที่หลอกดีที่สุดคือหลอกปัญญาชน  เพราะพูดว่าปฏิรูปมันก็ถูกเนื่องจากทุกประเทศมันต้องมีการปฏิรูปทุก 5 ปี 10 ปี มันต้องมองไปข้างหน้า  มีโครงการคิดว่า 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้คือการปฏิรูป  การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคมจะเป็นอย่างไร   เพราะฉะนั้นพูดคำว่าปฏิรูปมันจึงได้ใจคนจำนวนมาก   ความจริงมันเป็นของหลอกทั้งนั้น  เพราะเป้าหมายจริงคือไม่เอาระบอบประชาธิปไตย  ถ้าเอาระบอบประชาธิปไตยพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายจารีตนิยมแพ้

เป้าหลอกที่เขาชูมาตั้งแต่แรกคือ “โค่นระบอบทักษิณ”  แต่เป้าจริงก็คือ “ไม่เอาระบอบประชาธิปไตย”   เพราะฉะนั้นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดก็คือ เป้าหมายที่ไม่ถูกต้องแล้วในที่สุดคนจะไม่ยอมรับ  แล้วยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างเราบอกว่าเราใช้  “สันติวิธี”  แต่เขาก็พยายามบอกว่าเรารุนแรง  ซึ่งต้องยอมรับว่าเขาทำงานประชาสัมพันธ์เก่งคนเชื่อเยอะ  ในที่สุดมันโผล่ออกมาแล้วว่ามันมีมือปืนเต็มไปหมด  ซึ่งหมายความว่าคุณใช้ยุทธวิธีอะไรรวมทั้งเรื่องของความรุนแรง  มันก็จะทำให้คนชะงัก  จุดอ่อนก็คือมันได้เปิดเผยตัวตนความรุนแรง เปิดเผยเป้าหมายจริง

ส่วนจดแข็งของเขาก็คือ  ต้นทุนของความเชื่อที่ได้สั่งสมมาพอสมควร  มันมีต้นทุนสองต้นทุน  ต้นทุนยาวนานของความคิดจารีตนิยม  ความคิดหยุดนิ่งของประเทศนี้ที่ไม่ต้องการคืนอำนาจให้ประชาชน  จึงสร้างต้นทุนเรื่องคนดี คนเลว แล้วต้นทุนถัดมาก็คือสร้างคุณทักษิณเป็นเหมือนปีศาจร้าย  ต้นทุนสองต้นทุนนี้เขาไม่ได้ทำวันนี้  แต่เขาได้มาตั้งแต่วันก่อนมากลายเป็นจุดแข็ง   อันที่สองก็คือต้นทุนที่มีพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งสนับสนุนอย่างแข็งขัน  จึงทำให้มีคนจำนวนหนึ่งที่ออกมาสมทบมากมาย  เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าหนึ่งมีความเชื่อ  สองมีความจริงที่มีต้นทุนเป็นตัวตนคน  เพราะฉะนั้นนี่คือจุดแข็ง  ถ้าเขาไม่มีพรรคการเมืองสนับสนุนขนาดนี้  ไม่มีทุนทรัพย์สนับสนุนขนาดนี้  ดิฉันเชื่อว่าเขาทำไม่ได้  แต่ว่าทั้งหมดนี้ชี้ขาดอยู่ที่ว่า  คือถ้าคุณจะทำวิธีอื่นคุณอาจจะแข็งกว่า เช่น ไปบอกองค์กรอิสระหรือว่าให้กลไกยุติธรรมบางอย่างนั้นกระทำ  หรือเรียกให้ทหารมาทำรัฐประหารอันนั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง  แต่ถ้าจัดม็อบเพียว ๆ นะ ถ้าคุณไม่ถูกต้องประชาชนไม่ใช่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงนะ  ทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น

อีกแบบหนึ่งของจุดแข็งคือ  ต้องยอมรับว่าการที่อ้างกลุ่มต่าง ๆ หนุนหลัง  อย่างหนึ่งก็คือกองทัพ  เราจะเห็นว่ากองทัพจะระแวดระวังมาก มาคอยเฝ้าอยู่ตลอดเลย  ตอนของเราไม่ใช่อย่างนั้นกลายเป็นเขตกระสุนจริงเลย  เราเห็นภาพมือปืนยืนปนกันอยู่กับแม่ทัพนายกอง (พูดถึงที่หลักสี่)  ถ้าถือเป็นจุดแข็งนะ  มันไม่ใช่จุดแข็งที่ถูก  เพราะสำหรับถ้าคุณเป็นคนเคลื่อนไหวประชาชนคุณจะไม่ต้องใช้จุดแข็งแบบนี้  แต่ก็มองเป็นจุดแข็งก็ได้เพราะเขาถือว่ามีกองทัพหนุน

สองกระบวนการยุติธรรม  ในความเชื่อของเราก็ค่อนข้างที่จะเอื้อประโยชน์อยู่  สนับสนุนอยู่ขนาดไหนอีกเรื่องหนึ่ง  อีกอันหนึ่งก็คือการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์  มีคนจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าจะมีการทำลาย  ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่มีคนเคยทำแต่อันนี้จะเรียกว่าจุดแข็งที่ถูกก็ไม่ใช่นะ  คือในความเป็นจริงถ้าคุณเป็นนักต่อสู้ของประชาชนนี่ไม่ใช่จุดแข็ง  แต่ถ้าคุณเป็นเพียงเพื่อแค่ว่าเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์แล้วมีคนมาอยู่กับคุณมากอาจจะเรียกว่าจุดแข็งก็ได้  แต่สำหรับนักต่อสู้ของประชาชนเราจะไม่เรียกว่าจุดแข็งเลย  เราถือว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่านี่ไม่ใช่กระบวนการประชาชนที่แท้จริง  คุณจึงจำเป็นที่จะต้องไปอ้างอิง  ไปโหน  หรือไปยึดอย่างอื่นมา  แปลว่าความไม่ชอบธรรมนั้นมีสูง  

ผู้ดำเนินรายการ :
ถ้าสมมุติว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่เอาระบอบประชาธิปไตย ไม่เอารัฐบาลรักษาการ แต่จะจัดตั้งให้มีสภาประชาชนขึ้นมา  มันจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเรา

อ.ธิดา :
ดังที่ได้บอกแล้วว่าพวกนี้เป้าหมายที่แท้จริงคือล้มระบอบประชาธิปไตยแล้วมันจะสะท้อนออกตรงที่ว่าต้องการรัฐบาลมาตรา 7 และต้องการสภาประชาชนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง  ซึ่งตอนหลังเขาก็เฉลยว่ามันก็คล้าย ๆ สภานิติบัญญัตินั่นแหละ คือเขาต้องการยึดอำนาจแบบเดียวกับที่ทหารทำ  แต่ทหารยังไม่ยอมมายึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารเสียที  เขาก็เลยคิดเอาว่าจะเอาประชาชนมาแล้วก็มายึดอำนาจให้ได้รัฏฐาธิปัตย์ ตั้งรัฐบาล ตั้งสภาประชาชน  คำว่า “สภาประชาชน” ของเขาใช้ชื่อฟังดูเพราะ  อันนี้คือสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น  ความหมายที่แท้จริงเมื่อเฉลยออกมาด้วยคำพูดของเขาก็คือเป็นสภาที่อ้างมาจากอาชีพ  แล้วเป็นตัวแทนวิชาชีพ  แล้วก็เป็นการแต่งตั้งนั่นแหละ  ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั่วไป  เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าสภาประชาชนนั้นฟังดูเป็นภาษาของประเทศสังคมนิยมหรือพรรคคอมมิวนิสต์ไป  

สิ่งที่เขาบอกว่าจะตั้งสภาประชาชนหรือตั้งรัฐบาลที่คนยอมรับได้  คณะรัฐมนตรี  นายกคนกลางคนดี ทั้งหมดนี้ก็คือแก่นแท้ของการยึดอำนาจจากประชาชนแล้วก็แต่งตั้งตามอัธยาศัย  สมมุติถ้าเราเชื่อว่าเขาทำค่อนข้างดี  ก็คือไปเอาพวกตัวแทน  คำถามว่าแล้วคนใช้แรงงานนอกระบบกับในระบบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาชาวไร่เขามีองค์กรจัดตั้งที่ไหน  สมาคมนี่ก็หลอก ๆ หมายความว่าคนยากคนจนจำนวนมากไม่มีองค์กรจัดตั้ง  เขาไม่สามารถที่จะเอาตัวแทนมาได้  แล้วสภาประชาชนที่จะมาจากวิชาชีพแล้วแต่งตั้งนี่จะเอามาจากไหน  พูดตรง ๆ ว่านี่ไม่ใช่วิถีในระบอบประชาธิปไตย  เป็นสิ่งที่ต้องการจะยึดอำนาจแล้วแต่งตั้ง  นั่นคือจะเกิดการยึดอำนาจโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่ไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยเพราะจะพ่ายแพ้  เพราะว่าอำนาจฝ่ายบริหารกับอำนาจนิติบัญญัติจะไปอยู่ในมือของประชาชนหรือนักการเมืองซึ่งยอมรับไม่ได้  

สิ่งที่ชัดเจนคือที่เขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศในลักษณะถอยหลังไม่ใช่ก้าวไปข้างหน้า  ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย  แต่เป็นระบอบของคนส่วนน้อยที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน  นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาไม่ยอมเลิกก็จะอยู่ไปจนถึงสงกรานต์

ผู้ดำเนินรายการ :
อาจารย์อยากจะฝากอะไรถึงกลุ่มแกนนำ กปปส. ไหมคะ  ถ้าเกิดว่าได้ติดตามชมรายการอยู่ในช่วงเวลานี้ว่าหลังจากนี้ต่อไปอย่างที่เขาประกาศออกมาว่าอาจจะยืดเยื้อไปจนถึงช่วงสงกรานต์  แล้วมันจะจบลงอย่างไรคะอาจารย์  

อ.ธิดา :
ดีที่สุดก็คือฝากให้ประชาชนทั้งประเทศพิจารณาว่า  ในสิ่งที่เขาทำนี่เขาทำลายประเทศยังไม่พอหรือ  เขาทำเพื่ออะไร  ทำเพื่อให้ปัญหาในคดีรอด  ทุกวันนี้ยังไม่ไปศาลผลัดมาตลอดเลย  แล้วอย่านึกว่าถ้าแม้นจะใช้องค์กรและอะไรต่าง ๆ มากดดันแล้วคิดว่าเขาได้รับชัยชนะ  อย่าคิดว่าเขาจะได้รับชัยชนะจริงนะ  เพราะว่าทั้งโลกและสังคมไทยไม่เอาด้วยหรอก  ที่สุดเขาก็จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง  เพราะฉะนั้น...หยุดเสีย...คนที่ไปให้ความร่วมมือก็หยุดเสีย  เพราะไม่ต้องการให้ประเทศไทยย่อยยับไปกว่านี้แล้ว.